Monday, April 6, 2009

ตลาดมือสอง ของคนทุกชนชั้น













ตลาดมือสอง ของคนทุกชนชั้น
ของดีราคาถูก ไม่มีในโลก ของดีราคาแพง มีอยู่ถมเถจะให้ซื้อบ่อยๆ คงไม่ไหวหรอกคุณ ของดีราคาแพงน่ะ ยิ่งยุคนี้ด้วยแล้ว สนองนโยบายรัดเข็มขัดกันหน่อย...ดีไหม? แบรนด์เนมหรูชิ้นใหม่เอี่ยมอ่อง ใครบ้างไม่อยากได้ แต่เศรษฐกิจย่ำแย่แบบนี้ ขนาดคนที่ชื่นชอบการช็อปปิ้งทั้งหลายก็ยังต้องปรับตัวเลย มอบส่วนลดทั้งห้าง หรือขยายเวลาช็อปถึงรอบเที่ยงคืน อาจใช้ไม่ได้ผลสำหรับพวกเขา ต้องหั่นราคาเกิน 70% ทุกแผนก หรือล้างสต๊อกทั้งกระบะ นั่นละคือสิ่งปรารถนาอันแรงกล้าของช็อปปิ้งมาเนีย ไม่ใช่ผู้สันทัดเรื่องสินค้ามือสอง แต่ก็พอรู้บ้างว่ามีที่ไหนให้ซื้อ เผื่อเป็นทางเลือกของการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเผาหลอก (ปีหน้าเผาจริงชัวร์!!! นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอย่างนั้น) จะได้ไม่เผลอไผลทำมือเติบไปกับสินค้ามือหนึ่ง ซึ่งราคาแพงระยับจนแทบกระอักเลือดแวะที่ไหนดี...ตลาดมือสอง
*แยกรัชดา-ลาดพร้าว ยิ่งกว่ามหกรรมฟรีคอนเสิร์ต...จริงๆ นะครับ เป็นครั้งแรกที่ไปเดินตลาดแห่งนี้ ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ท่ามกลางคลื่นมหาชนที่แห่แหนเบียดเสียดเข้างานคอนเสิร์ตร็อกแบบไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วเลย ทุกคืนวันเสาร์ (6 โมงเย็น จนถึงตี 3) คนจากทั่วสารทิศต่างมุ่งหน้าสู่แยกรัชดา-ลาดพร้าว (ถ้าใครยังพอจำได้ลางๆ ที่นี่ก็คือรัชดาไนท์บาซาร์ ซึ่งเจ๊งไปเมื่อหลายปีก่อนโน้น) เพื่อเลือกซื้อสินค้ามือสองที่วางแบกะดิน เรียงรายกันสลอน ร่วมๆ 500 แผง อยากได้อะไรล่ะ เดี๋ยวจัดให้ กางเกงยีนส์ลิมิเต็ดเอดิชันยี่ห้อดัง Evisu จากญี่ปุ่น รุ่นเดียวกับที่ขายในห้างหรู Lee รุ่นแม็กเหล็กป้ายซ้ายตะเข็บปิด นาฬิกาแนวสปอร์ตแฟชั่นที่วัยรุ่นฮิตกันอยู่ การันตีของแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เก่าหน่อยแต่สภาพนิ้ง หรือจะเป็นเวสปาคันเก๋า ฮอนด้ารุ่นคุณพ่อยังหนุ่ม จักรยานโบราณหลากแบรนด์อันมีต้นกำเนิดอยู่ที่เยอรมนี โอ่งมังกรจากเซี่ยงไฮ้ เครื่องเล่นแผ่นเสียงสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 มีให้เลือกชมเลือกซื้อเหมือนกัน “วีระยุทธ เอี่ยมอมร” หรือ “หนึ่ง” พ่อค้าหนุ่มวัย 22 ปี เล่าว่า ทุกวันเสาร์เขาจะบึ่งรถกระบะจาก จ.ราชบุรี โดยมีเวสปาติดมาด้วย 3-4 คัน เพื่อมาขายต่อให้กับคนสนใจในราคากันเอง “ส่วนใหญ่คนซื้อจะเป็นคนชอบเวสปาอยู่แล้ว ซื้อไปแต่งสำหรับขับ หรือไม่ก็จับไปขายต่อ บางทีมีประเภทสะสม แต่งเพื่อเก็บอย่างเดียว หรือเอาไปแต่งบ้าน โรงแรม รีสอร์ต” ไม่ใช่แค่สินค้าที่เน้นจับกลุ่มคนมีเงิน (อยากได้ของย่อมเยา) เท่านั้น โลว์โซไซตี ชอบนั่งเพิงส้มตำ จกข้าวเหนียวจิ้มลาบเลือดกับตำปูปลาร้า ไปที่นี่ก็สมหวังทุกราย เพราะของถูกๆ ราคาไม่เวอร์ (มาก) อีกทั้งคุณภาพใช้ (การ) ได้ มีละลานตาจนเลือกแทบไม่หวาดไม่ไหว อะไหล่รถยนต์-รถมอเตอร์ไซค์ หิ้งพระ ไฟแช็ก ขวดเหล้า ขวดไวน์ ถาดไม้ ถ้วย-ช้อนสังกะสี ไมโครโฟน หนังสือเพลง ตะเกียงเจ้าพายุ รีโมตทีวี หมวกกันน็อก ค้อน นอต ขวาน จอบ เสียม (ยังมีเลย) แต่ต้องขยันเดิน ยอมทนรับกับสภาพคนจอแจ รับรองว่าเงินไม่กี่ร้อยบาท จะทำให้คุณครอบครองสินค้ามือสองได้ตั้งเยอะ
*ตลาดไท ไม่ใช่ตลาดขายส่งผลไม้อันดับ 1 ของประเทศหรอก แต่อยู่ละแวกใกล้ๆ กัน มีความยาวการตั้งแผงประมาณ 1 กิโลเมตร วันพฤหัสบดี อ้าว!...ก็วันนี้นี่ไง คุณว่างหรือเปล่า เพราะตลาดมือสองแห่งนี้เปิดบริการ ราวๆ บ่าย 3 โมงเขาก็จะพากันมาตั้งแผงกันแล้ว 3 ทุ่มนู่นตลาดถึงวาย ลูกค้าจะมีเวลาทองในการซื้อของที่นี่เพียง 5 ชั่วโมง ฉะนั้นต้องวางแผนกันให้ดี เผื่อเหลือเผื่อขาด เพราะหลายคนเพลินอยู่กับเจ้านี้ แต่กลับพลาดอีกเจ้า น่าเสียดาย แต่ถ้าไม่ซีเรียสอะไร ดูกันนานๆ ก็ดีอย่าง คือจะได้ของดีกลับ หรือไม่ทันจริงๆ ก็รอมาอีกทีสัปดาห์ถัดไป สินค้าที่นี่คล้ายๆ กับที่แยกรัชดา-ลาดพร้าว แต่อาจไม่เยอะเท่า ที่สำคัญคือพ่อค้าแม่ค้าบางส่วนก็หน้าเดิม ดึกวันเสาร์ขายแยกรัชดา-ลาดพร้าว บ่ายๆ วันพฤหัสฯ ก็ขายตลาดไท วิ่งรอกเหมือนนางงามเดินสายประกวดหลายเวที “สำราญ สุขคำ” หรือ “ลุงสำราญ” ในหมู่คนขายรถจักรยานโบราณ ถือเป็นเจ้าพ่อที่เชี่ยวเรื่องนี้ จับธุรกิจอยู่นานพอสมควร เริ่มจากสะสมและเปิดขายที่เชียงใหม่ก่อนจะมาบุกตลาดกรุงเทพฯ จนรู้จักมักจี่กับจักรยานเป็นอย่างดี “สะสมตอนแรกๆ ก็ตอนที่ผมอยู่เชียงใหม่ เห็นชาวบ้านขี่มาทำงาน เออ! ก็สวยดี อยากได้ เลยถามเขาว่ามีอีกไหม จะซื้อมาขี่ พอได้คันแรกก็เก็บมาเรื่อยจนมันเยอะ พร้อมๆ กับศึกษาประวัติไปด้วย” ลุงสำราญ เล่าให้ฟัง “ผมเริ่มนำออกขายตอนที่มีตลาดตรงลานพระบรมรูปทรงม้า แล้วก็มาเป็นสะพานมัฆวานฯ เลิกไป เพราะโดนมองว่าทำลายทัศนียภาพสวยงามยามค่ำคืน จนถึงที่แยกรัชดา-ลาดพร้าว และตลาดไทนี่ละ” จักรยานโบราณที่ลุงสำราญนำมาขายนั้น มีหลายราคาและขึ้นอยู่กับรุ่น หายากหรือไม่ เช่นเดียวกับสินค้าของเพื่อนร่วมตลาด ก็มีทั้งถูกและแพงสลับกันไป ใครสนใจ หรือต้องจริต ก็เปิดการเจรจา ส่วนลดมีให้นิดหน่อย แต่ถ้าเป็นขาประจำย่อมได้ราคาพิเศษ ซึ่งนั่นคือเอกลักษณ์ของตลาดมือสอง ไม่ใช่ซื้อขายแค่สินค้า ทว่ายังเป็นการซื้อใจ (คน) ไปในตัว ตาดีได้ ตาร้ายเสีย ขึ้นชื่อเป็นของมือสองก็คงไม่มีอะไรเพอร์เฟกต์เท่ากับของมือหนึ่ง ทางที่ดีควรยึดคตินี้ไว้ เผื่อจะทำใจได้ หลังจากกลับมาถึงบ้าน ของมือสองผ่านการใช้งานมาแล้ว มีบ้างที่สภาพอาจเสื่อม หรือเกิดตำหนิ คนซื้อตรวจตราอย่างถ้วนถี่ก็เป็นโชคดีไป แต่ถ้าโชคร้ายได้ของยิ่งกว่ามือสอง อาจจะมือสามมือสี่ละก็ ขออภัย โทษใครไม่ได้ ในเมื่อคุณเลือกเอง นี่ไงเขาถึงมีกฎ “ตาดีได้ ตาร้ายเสีย” เวลาซื้อของมือสอง ถึงขั้นสร้าง “เซียน” ให้เกิดขึ้นในวงการ ดูแวบเดียวรู้เลยว่าของมือสองจริงๆ หรือแค่ย้อมแมวขาย และที่สำคัญดูเป็นขนาดชี้ชัด เป็นของแท้ หรือของเทียม “พงษ์เพชร ศิริวัยวัตร” เจ้าของแผงของเก่าสารพัด มีตั้งแต่เครื่องเคลือบ เครื่องถม สร้อย พระเครื่อง จนถึงอะไหล่รถยนต์หายาก ถือเป็นเซียนดูของมือสองอีกคนที่เจนจัด เนื่องจากคลุกคลีอยู่หลายปี เรียกว่าได้ดิบได้ดิบเพราะของมือสองก็ไม่น่าผิด เขาเข้าข่ายเป็นคนซื้อมาขายไป เลือกจับสินค้าที่คาดว่าจะมีราคาในอนาคต อาจขายไม่ได้ในวันนี้ แต่เขาจะรอให้ถึงวันนั้น...วันของมัน ที่มีคนสนใจเดินมาแวะและซื้อไปโดยปราศจากอคติในใจว่าคือของมือสอง หรือของมือตำหนิ “ของมือสองมันก็มีดีและไม่ดี แต่คุณค่าจะน้อยหรือมากก็อยู่ที่คนซื้อว่ามองยังไง บางคนอาจคิดยังงี้ แต่อีกคนอาจมองคนละอย่าง สำหรับผมถ้าชอบซื้อเลย ถ้าคิดว่าสามารถนำไปใช้สอยได้ต่อซื้อเลย ราคาดูไหม...ดู ต้องสมเหตุสมผล ไม่ใช่เอะอะแพงไว้ก่อน เพราะเห็นเป็นของมือสองหายาก อย่างผมลงทุนไปซื้อของมือสองถึงสิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ ผมเลือกเฉพาะที่มันมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะมีคนชอบเหมือนเรา ซื้อมาขายไม่ออกก็เก็บเป็นของสะสมได้” มือสองก็ (มีของ) แพง “กางเกงตัวนี้เท่าไหร่” ผมยื่นหน้าเข้าไปถามเจ้าของร้านขายยีนส์ร่างท้วม เขายิ้มที่มุมปากก่อนจะตอบมาว่า “1,800 ครับ” ผมทำทีไปหยิบอีกตัว “แล้วตัวนี้ละ” เขาหันมามองพร้อมกับราคาที่ทำเอาผมหงายหลัง “6,000 ครับ แต่มีส่วนลดนิดหน่อย” ผมคิดในใจ ยีนส์บ้าอะไร ทำไมแพงหูดับตับไหม้ถึงเพียงนี้ พอลองสอบถาม จึงได้รู้ความจริง (วันนั้น) จากปากข้าราชการกรมป่าไม้วัย 28 ปี “อนุสรณ์ หุ่นทรง” ซึ่งหันมาจับธุรกิจขายยีนส์แบรนด์ดังในวันว่าง นอกจากของมือสองราคาไม่ธรรมดาที่ร้านอนุสรณ์แล้ว ใช้เวลาสำรวจตลาดทั้ง 3 แห่ง ก็พบว่ายังมีของมือสองอีกนับไม่ถ้วนที่เข้าขั้นแพงถึงแพงมาก...ก อย่างเช่น รถมอเตอร์ไซค์เก่าร้านวีระยุทธ เวสปาสีซีด มีสนิมจับแต่ใช้การได้ดี (เจ้าของยืนกราน) ได้ยินราคาแล้วคุณจะหนาว คันละ 2.85 หมื่นบาท (โอ้...ถ้าผมจะซื้อคันนี้ก็ต้องเก็บเงินถึง 4 เดือนเชียวนะ) หรือแม้แต่คันที่จอดข้างๆ เบ็ดเสร็จก็ 8,500 บาท คนที่รักเวสปาก็ถือว่าไม่มากไม่น้อยไป (ใช่ไหม) หรือร้านจักรยานโบราณลุงสำราญก็ไม่ใช่ย่อย ถูกสุด 3,500 บาท แพงโคตรอยู่ที่ 2 หมื่นบาท “คันละนะ” ลุงย้ำ ผมถึงกับตื่นเต้นสุดขีด เพราะอยากดู แต่ลุงบอกเสียใจด้วยเพิ่งขายไปก่อนผมจะมาถึง แต่ลุงก็ใจดีอุตส่าห์กุลีกุจอหยิบรูปถ่ายแค็ตตาล็อกสินค้าที่ทำขึ้นมาให้เชยชม ห่างกันไม่กี่แผง คือร้านขายเครื่องเล่นแผ่นเสียง เจ้าของเป็นลุงป้าสูงวัย แต่หัวใจรักดนตรี แกปิดป้ายขายขาดตัว 1.9 หมื่นบาท จะให้เว้ากันซื่อๆ สำหรับผมมันแพงเกิน แต่ใครที่กำลังสะสมอยู่หวานหมู ดูจากสภาพนั้นยังใหม่กิ๊ก แถมเสียงใสกังวานก้อง เห็นหรือยังละว่า ของมือสองก็มีราคาแพง จนแบรนด์เนมมือหนึ่งยังต้องชิดซ้าย เพราะสู้กับความเก่าและความเก๋าไม่ได้

Credit Sanook.com

ร้านเสื้อผ้าสำหรับสาวไซต์ใหญ่ B-Girl shop







ร้านของตั้วชื่อ บี เกิร์ล ช็อบ (B-Girl shop) ค่ะ ตัว B ย่อมาจาก Big และมีอีกความหมายหนึ่ง คือ Be girl คือ เป็นผู้หญิงค่ะ คือ เราจะทำให้เค้าเป็นผู้หญิงมากขึ้น อย่างสวยงามและอ่อนหวานค่ะ ซึ่งจริงๆ เค้าใส่ได้ทุกรูปแบบค่ะ แต่ว่าจำเป็นจะต้องมีการปรับ เสริมจุดเด่น หรือว่าพรางจุดด้อยของเค้า หรือว่าสไตล์การแต่งตัวก็ต้องดู ต้องมีการปรับด้วยค่ะเริ่มต้น ไซส์เล็กสุด เริ่มจากไซส์ L ขึ้นไปเป็นอย่างต่ำนะคะ อย่างสาวๆ ที่ตัวใหญ่ อาจต้องใส่อะไรที่ไม่ปิดมิดชิดเกินไป เช่น เสื้อคอตั้ง ปิดหมด อาจทำให้ดูตัน หรือตัวใหญ่กว่าเดิม คือว่า จริงๆ แล้วคนที่ตัวใหญ่ แต่มีไซส์แขนที่สมดุลกับตัว ก็อาจเปิดเผยได้ ไม่จำเป็นต้องไปปิดหมด ยิ่งปิดหรือใส่สีดำ หรือใส่สีเข้มมันจะกลายเป็นอะไรที่ดูหนาๆ คือ สีดำช่วยพรางหุ่นบ้างเล็กน้อย อาจเหมาะกับเสื้อที่แบบแข็งๆ คือ ถ้าเป็นแบบสไตล์อ่อนหวาน ไปใส่สีเข้มๆ ก็ใส่ไม่สวยค่ะทำไมถึงได้มาตัดชุดที่คิดว่าสาวไซส์ใหญ่ก็สามารถใส่เปิดได้ ใส่สีอ่อนๆ ได้?เริ่มต้นที่มาทำชุดไซส์ใหญ่มาจากตัวเองค่ะ เนื่องจากตั้วเป็นคนตัวใหญ่ หาเสื้อผ้ายาก เวลาเดินช็อปปิ้ง เจอน่ารักๆ แต่ใส่ไม่ได้ กลายเป็นอย่างไซส์คุณนุ้ย แต่ว่าตั้วโชคดี มีคุณแม่เป็นดีไซเนอร์ เคยทำร้านเสื้อมาก่อน ช่วยให้ตั้วมีคนที่ดูแล คอยให้คำปรึกษาค่ะ นึกถึงคนที่ตัวใหญ่กว่าเรา ไซส์ใหญ่กว่าเรา คงจะหาเสื้อผ้ายาก จึงมีความคิดว่าเราจะเป็นทางเลือกให้เค้า เป็นร้านเสื้อที่ให้เค้าเลือกเสื้อสวยๆ ไปใส่ จริงๆ คือ เริ่มจากเห็นใจตัวเองก่อน (หัวเราะ)จริงๆ แล้วสีเข้มใส่ได้ และช่วยพรางบ้างเล็กน้อย แต่ว่าอารมณ์ของสีสันจะช่วยให้เสื้อผ้ามีอารมณ์ และมีความหลากหลาย สีอ่อนทำให้ดูอ่อนหวาน สีแรงๆ จะทำให้ดูเปรี้ยว ดูเสริมขึ้นมา ตั้วคิดว่า สาวไซส์ใหญ่ก็อยากใส่เสื้อผ้าที่มีสีสัน มีรูปแบบหลากหลาย บางครั้งก็อยากดูหวานๆ หรือเซ็กซี่บ้างสำหรับสาวที่ข้างบนเล็กกว่าข้างล่าง แนะนำให้ใส่เสื้อที่มีแขนแบบตุ๊กตา ช่วยเสริมให้ดูมีบ่า หรือดูสมาร์ทมากขึ้น หรือตัวนี้ (ตัวเขียวอ่อน) มีระบาย มีพองช่วงแขน ช่วยได้ค่ะ เพราะจะทำให้ดูมีบ่าใหญ่ เสริมให้ช่วงบนดูใหญ่ขึ้นค่ะ อย่างตัวนี้ (เขียวอีกตัว) มีทิ้งลงมาก็จะปิดช่วงสะโพก พรางหน้าท้องค่ะเคล็ดลับผู้หญิงที่มีไซส์ใหญ่จะดูแลตัวเองให้ดูสวย สดใสเสมอค่ะ?แนะนำว่า จริงๆ แล้วคนเราเนี่ย ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะใส่เสื้อผ้าแบบไหน ถ้าคุณมั่นใจและรู้สึกว่าเราใส่แล้วเรารู้สึกว่าเราดูดี ชอบ ใส่แล้วเดินอย่างมั่นใจก็ใส่ไปเลย ยกตัวอย่างพี่นู๋แหม่ม ใส่อะไรก็ดูดีทั้งนั้น อยากให้คุณผู้ชมที่มีไซส์ใหญ่ลองใส่เสื้อผ้าค่ะ ถ้าชอบอะไร ใส่เลย ไม่จำเป็นต้องคอยปิด ไปห่วง คอยแอบตลอด ก็จะช่วยเสริมบุคลิกค่ะ“คนเราเนี่ย ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะใส่เสื้อผ้าแบบไหน ถ้าคุณมั่นใจและรู้สึกว่าเราใส่แล้วเรารู้สึกว่าเราดูดี ชอบ ใส่แล้วเดินอย่างมั่นใจก็ใส่ไปเลย”สุดท้ายนี้ ถ้าสาวไซส์ใหญ่อยากขอคำปรึกษา หรือติดต่อคุณตั้ว จะติดต่อได้ที่ไหน?
ติดต่อตั้วได้นะคะ 081-928-5644 หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ก็ได้นะคะ http://www.b-girlshop.com ค่ะ
Credit Sanook.com

red mango ไอศกรีมเกาหลี อินเทรนด์






คนอ่าน”เดลินิวส์”หลากหลายมาก อาชีพที่เราจะนำมาเสนอเป็นทางเลือก จึงย่อมแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่แล้วเราพยายามมุ่งเน้นการลงทุนที่งบประมาณไม่มากจนเกินไปนัก อย่างไรก็ดี อาชีพที่นำเสนอในครั้งนี้ แม้งบประมาณตั้งต้นจะค่อนข้างสูง แต่ก็เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกับผู้ที่กำลังมองหาอาชีพที่สอง หรือผู้ที่อยากเป็นเถ้าแก่น้อย หรือเถ้าแก่เนี้ยน้อย ที่พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ด้วยวิธีการซื้อแฟรนไชส์ ฐิตินันท์ เกียรติไพบูลย์ หรือ “ก้อย” เป็นลูกสาว สมพล เกียรติไพบูลย์ อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งสนิทสนมกับนักข่าวสายพาณิชย์เป็นอย่างดี แต่ก้อยมักไม่ยอมบอกชื่อพ่อ จนกว่าจะถาม ตอนนี้อายุ 33 ปี และเป็นเจ้าของธุรกิจไอศกรีมแบรนด์ดังจากเกาหลี ไอศกรีมโยเกิรต์เพื่อสุขภาพ โดยอีกอาชีพหนึ่งก็คือนักกฎหมายของบริษัท Baker& Mc Kenzie ทำมา 6 ปีแล้ว ลูกความส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ ๆ ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ทำให้ได้รูปแบบทางธุรกิจเยอะ รวมทั้งทักษะทางกฎหมายสำหรับการลงทุนการเป็นคนรุ่นใหม่ ชอบความท้าทายใหม่ ๆ พร้อมเปิดโอกาสตัวเองลองพิสูจน์ความสามารถด้านอื่น ๆ พอดีกับที่พี่ชายอยากให้ช่วยบริหารงานที่มีหุ้นส่วนเป็นคนเกาหลี อิงความแรงของเทรนด์เกาหลีในไทยต่อยอดธุรกิจ จึงได้นำเข้าเครื่องสำอาง Misha เข้ามาก่อน ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จสำหรับการนำเข้าไอศกรีม “red mango” ก้อยเล่าว่า มีจุดเริ่มต้นจาก มิสเตอร์ รอนนี่ ซู เจ้าของแบรนด์ เปิดสาขาแรกในต่างประเทศที่ L.A. แล้วได้รับการตอบรับดีมาก มีคนดังระดับฮอลลีวู้ดเป็นลูกค้าประจำ เมื่อตนเองไปสำรวจตลาดที่เกาหลี ได้กินไอศกรีมยี่ห้อนี้ เกิดติดใจรสชาติความอร่อย เลยบอกพี่ชายว่าอยากได้แบรนด์ตัวนี้ เมื่อติดต่อไปตอนแรกเค้าไม่ยอมให้ เพราะยังไม่แน่ใจว่าเราจะทำตลาดต่างประเทศได้ จึงเชิญมาดูตลาดไอศกรีมที่เมืองไทย ซึ่งมีทั้งมาจากอิตาลี นิวซีแลนด์ ฯลฯ แต่ยังไม่มีของเกาหลี“ยุคนี้เป็นช่วงที่กระแสคนรักสุขภาพมาแรงมาก คนหันมาสนใจอาหารสุขภาพ และเริ่มออกกำลังกายไปพร้อม ๆ กัน เจ้าของแบรนด์จึงเห็นโอกาสในการขยายสู่ตลาดในภูมิภาคเอเชีย ตัดสินใจให้ลิขสิทธิ์กับบริษัท KRC (Thailand) จำกัด ที่ก้อยเป็นกรรมการผู้จัดการ ให้เป็นผู้นำเข้า Red Mango แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งจุดเด่นอยู่ที่เป็นโยเกิร์ตแบบ Non Fat ทานแล้วไม่อ้วน เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพทุกเพศทุกวัย”
ก้อยบอกว่า ธุรกิจไอศกรีมบ้านเรายังโตได้สบาย เพราะสภาพอากาศร้อนเกือบทั้งปี และสินค้าที่นำเข้ามา หากเปรียบเทียบคู่แข่งระดับเดียวกัน ยังไม่มี จัดอยู่ในระดับพรีเมี่ยม เน้นคุณภาพ รสชาติที่กลมกล่อม มีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจคือท๊อปปิ้งที่ใส่ เป็นผลไม้สดตามฤดูกาลที่เลือกสรรมาอย่างดี อาทิ กีวี่, แตงโม ,สตรอเบอรี่, แคนตาลูป, ส้มแมนดาริน, สับปะรด และผลไม้กระป๋อง มีลำไย ลิ้นจี่ และธัญพืชประเภทเมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ของขบเคี้ยว คอนเฟลก และซีเรียลผลไม้ที่สั่งมาจากต่างประเทศอื่นเช่น ถั่วแดงเม็ดเล็ก ลูกพีช เป็นต้น โดยลูกค้าจะเลือกท็อปปิ้งเองตามชอบ ท็อปปิ้งอย่างละ 10 บาท สำหรับท็อปปิ้งยอดนิยมที่มีคนสั่งมากสุดคือ มะม่วง กีวี่ สตรอเบอรี่ ลิ้นจี่ ถั่วแดงเม็ดเล็ก และคอนเฟลก โดยไอศกรีมรสดั้งเดิม เป็นตัวยืนที่ได้รับความนิยม หลังเทศกาลถือศีลกินเจได้เพิ่มรสชาเขียวเข้ามาใหม่
Credit Sanook.com

Sunday, April 5, 2009

“พอดี โฮมเมด”ความอร่อยลงตัว เสน่ห์ของว่างโดนใจวัยดิจิตอล








การที่คุ้นเคยกับการทำงานประจำ เมื่อต้องมาอยู่บ้านเฉยๆ เพื่อเลี้ยงลูก ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและคิดอยากหารายได้ให้กับครอบครัว ซึ่งงานเบเกอรี่ถือว่าเป็นงานที่สามารถทำที่บ้านได้ และเป็นความชอบส่วนตัวที่มุ่งมั่นไปหาความรู้เพิ่มเติมด้านนี้โดยเฉพาะ สุดท้ายจึงกลายเป็นธุรกิจเบเกอรี่ที่เน้น “พอดีคำ” ต่อยอดสู่ Snack Box จับกลุ่มลูกค้าออฟฟิศ

Snack Box กับขนม 4 ชิ้น
ขวัญ มีนะกนิษฐ เจ้าของไอเดียเบเกอรี่แบบ “พอดีคำ” ภายใต้แบรนด์ “พอดี โฮมเมด (Pordee Homemade) ตามชื่อของลูกสาว เล่าว่า ธุรกิจนี้เกิดจากความชอบส่วนตัวตั้งแต่ในสมัยเด็ก ที่มักจะใช้เวลาว่างในการทำเบเกอรี่ กับญาติพี่น้องที่มักใช้เวลาในการทำเบเกอรี่ โดยอาศัยการเปิดตำรา แล้วนำมาดัดแปลงใส่ส่วนผสมที่ชอบเพิ่มลงไป และนำไปแจกให้เพื่อนๆ ได้ลองชิม จนกระทั่งไปมีโอกาสศึกษาต่อที่สหรัฐฯ จึงได้ไปลงเรียนด้านเบเกอรี่เป็นคอร์สสั้นๆ เมื่อกลับมาก็ได้เรียนต่อที่ยูเอฟเอ็ม ซึ่งก็เป็นการเรียนเพื่อสนองความชอบส่วนตัวมากกว่าที่คิดจะยึดทำเป็น

จนกระทั่งเมื่อต้องออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงลูก จากคนที่เคยทำงานประจำ ด้านการตลาด กลับต้องมานั่งเลี้ยงลูกอยู่บ้าน จึงคิดหารายได้ให้กับครอบครัว จึงเริ่มงัดความรู้ด้านเบเกอรี่ที่ได้ไปเรียนมาลองทำเบเกอรี่ขาย ตามคำแนะนำของสามี โดยเน้นความเป็นเบเกอรี่โฮมเมด และพอดีคำ ตามคอนเซ็ปต์ของคุณแม่ที่เน้นการทำขนมทานที่บ้านแบบพอดีคำ รับประทานได้สะดวก

“หลังจากที่เราตัดสินใจที่นำความรู้ด้านเบเกอรี่มาต่อยอดเป็นธุรกิจเพื่อทำขายอย่างจริงจังแล้ว ช่องทางแรก เพื่อทำให้ขนมให้เป็นที่รู้จัก คือ ช่องทางอินเทอร์เน็ต ที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงง่าย โดยใช้รูปภาพของขนมที่ทำออกมาน่ารับประทานเป็นจุดดึงดูดให้ลูกค้าสนใจ ซึ่งก็ได้ผล เพราะหลังจากที่ลงภาพสินค้าและรายละเอียดของธุรกิจ ก็มีผู้สนใจโทรเข้ามาสอบถาม และสั่งขนมเป็นเป็นจำนวนมาก โดยกลุ่มลูกค้าแรกคือ พนักงานออฟฟิศ ที่ต้องเสาะหาขนม เพื่อทานกับ Coffee Break ระหว่างการประชุมเป็นประจำ ทำให้ขนมของเราเป็นที่รู้มากขึ้นจากผู้ที่ได้ลองชิม และบอกต่อ”

ในช่วงแรกแม้แพคเกจจะธรรมดา ไม่ได้ทำกล่องขึ้นโดยเฉพาะ เป็นเพียงการติดสติ๊กเกอร์ที่กล่องเท่านั้น แต่ลูกค้าก็ให้การตอบรับดี จนดำเนินธุรกิจมาได้ประมาณ 7 เดือน จึงคิดออกแบบกล่องกระดาษตามแบรนด์ ต้อนรับเทศกาลปีใหม่ในช่วงต้นปี 2551 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายดีขึ้น “เราเป็นผู้ผลิตเบเกอรี่โฮมเมด ที่ค่อยๆ โต ไปพร้อมกับสถานะการเงิน ไม่อยากลงทุนมาก ทำให้ปัญหาตอนนี้ ถ้าลูกค้าในจำนวนขนมหลักพันชิ้นก็ไม่สามารถผลิตให้ได้ เนื่องจากคนงานไม่พอ และเตาอบยังทำไม่ทัน แต่เราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ พยายามเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้มากที่สุด เช่น การผลิตบางขั้นตอนไว้ล่วงหน้า โดยที่ผ่านมาเราจะจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านเบเกอรี่จากโรงแรม ให้นวดแป้งไว้ให้ แล้วแช่แข็งไว้ พร้อมนำออกมาผลิตเบเกอรี่ชนิดต่างๆ ได้ตามต้องการ ทำให้ประหยัดเวลาลงไปได้มาก”

ปัจจุบัน “พอดี โฮมเมด” มีขนมอยู่ประมาณ 15 รายการ เช่น แซนวิสม้วนไส้ไก่ แยมโรล บราวนี่ พัฟแฮม กระหรี่พัฟไส้กรอก วูโลวองผักโขม ครัวซองแฮม เอแคลร์ บลูเบอรี่ชีสพาย และมักกะนีอบชีส เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าออฟฟิศที่สั่งซื้อไปจัดเลี้ยง โดยล่าสุดได้ทำจัดทำเป็นกล่องของว่าง มีขนม 4 ชนิดอยู่ในกล่องเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการรับประทานของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าตามงานศพ จะชื่นชอบมาก โดยขายในราคากล่องละ 40 บาท ซึ่งราคาจะถูกกว่าการสั่งเป็นชิ้นที่ราคาเริ่มต้นที่ 12 บาท โดยทางร้านมีบริการส่งฟรีให้ด้วย เมื่อซื้อครบ 1,500 บาท เฉพาะย่านสุขุมวิท สาทร พระราม 4 และเพชรบุรีตัดใหม่ หรือรับอาหารได้ที่บ้านซอยสุขุมวิท 39

สำหรับแผนธุรกิจในอนาคต ขวัญ บอกว่า ยังไม่คิดที่จะมีหน้าร้าน เพราะไม่มีเวลาร้านได้ตลอดเวลา รวมถึงขณะนี้ทางบ้านกำลังจะเปิดโรงเรียนอนุบาลหนูน้อย ที่เน้นสอนแบบวิถีพุทธ ซึ่งตนเองจะต้องไปสอนเด็กๆ ด้วย ดังนั้นเรื่องการมีหน้าร้านจึงต้องรอดูในอนาคต ส่วนแผนในการผลิต ตั้งใจจะทำ Snack Box หรือกล่องของว่างที่มีทั้งขนม และน้ำพร้อมอยู่ในกล่อง หวังรองรับลูกค้าทัวร์ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นเตรียมการณ์ในเรื่องของแพคเกจ และผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

***08-1911-3253, 08-6533-7773, 02-258-8326 หรือที่ http://pordeehomemade.hi5.com/***
Credit SMEs Manager



My Happy Mom แฟชั่นโฮมเมดฝีมือแม่ เปิดตลาดผ่านออนไลน์




ความรัก ความห่วงใย อยากให้แม่มีความสุข เป็นแรงผลักดันให้ลูกสาว คือ “หยาดพิรุณ นุตสถาปนา” ต่อเติมจากความตั้งใจจนกลายเป็นธุรกิจจริงจัง ในชื่อตราสินค้า “My Happy Mom” รับจ้างผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแบบโฮมเมด ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งแนวคิดและดีไซน์

แม่ผู้เป็นแรงบันดาลใจ
**แรงบันดาลใจจากแม่ จุดเริ่มต้นของเสื้อผ้า แบรนด์ My Happy Mom นั้น หยาดพิรุณ นุตสถาปนา เจ้าของธุรกิจ เล่าว่า เกิดจากความรู้สึกล้วนๆ แค่อยากให้แม่มีความสุข ได้ทำงานที่อยากทำ เพื่อแก้เบื่อ ขณะเดียวกัน ช่วยรายได้เสริมให้ครอบครัว หลังจากเริ่มคิดทำธุรกิจเล็กๆ กัน แม่เสนอว่าอยากตัดชุดนอนขาย เพราะอย่างน้อยก็เป็นงานที่แม่ถนัด เพราะเคยเป็นช่างตัดเสื้อผ้ามาก่อน เชื่อว่าจะทำได้ดีที่สุด โดยเริ่มจากตัดชุดนอนเด็ก ใช้ทุนตั้งต้นแค่หลักพันบาท “เหตุผลที่เลือกทำชุดนอนเด็ก เพราะชุดนอนเน้นใส่แบบหลวมสบายๆ ทำให้การกำหนดไซด์ได้ง่ายกว่าเสื้อผ้าทั่วไปที่ต้องทำไว้หลายๆ ไซด์ ให้ลูกค้าเลือกซื้อใส่พอดีตัว โดยแม่จะทำเองทั้งหมด ตั้งแต่เลือกผ้า สร้างแบบ ตัด และเย็บ ส่วนดิฉันทำหน้าที่หาตลาดและช่องทางขาย” หยาดพิรุณ อธิบาย **ทำตลาดผ่านโลกออนไลน์ ช่องทางขายระยะแรกเช่าพื้นที่ตามตลาดนัดย่านธุรกิจ และตามหน้าห้างสรรพสินค้าต่างๆ ทว่า ช่องทางดังกล่าว แม้จะขายสินค้าได้ แต่กำไรแทบทั้งหมดไปจมกับการเสียค่าเช่า ไม่คุ้มทุนที่เสียไป ดังนั้น จึงเปลี่ยนช่องทางใหม่ หันมาขายผ่านอินเตอร์เน็ต โดยสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเอง www.myhappymom.com ซึ่งวิธีนี้ นอกจากง่าย และประหยัดแล้ว ยังเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่แท้จริงได้ดียิ่งขึ้น

กางเกงเล ประยุกต์ให้สวมใส่ได้สะดวกยิ่งขึ้น
“สำหรับธุรกิจเล็กๆ อย่างเรา การตลาดผ่านออนไลน์เป็นช่องทางที่เหมาะสมมาก เพราะมีค่าใช้จ่ายแค่ปีละพันกว่าบาท และเรายังได้สร้างสังคมเล็กๆ ของตัวเองขึ้นมา โดยเราสามารถรับจ้างผลิตแบบเมดทูออเดอร์ มีจุดเด่นเป็นงานแฮนด์เมด ซึ่งพิถีพิถันในการตัดเย็บ ถ้าเป็นขนมเค้กก็เป็นเบเกอรี่โฮมเมด แต่ของเราเป็นแฟชั่นโฮมเมด ซึ่งลูกค้าสามารถระบุความต้องการพิเศษได้เป็นเสื้อผ้าที่ตัดเย็บขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ” เจ้าของธุรกิจเผย

กระเป๋าผ้า รับกระแสช่วยโลกร้อน
สำหรับเว็บไซต์ www.myhappymom.com เป็นฝีมือสร้างสรรค์ของหยาดพิรุณ ส่วนนายแบบและนางแบบที่มาโชว์เสื้อผ้า ล้วนแต่เป็นญาติสนิทมิตรสหาย ช่วยประหยัดงบประมาณไปอีก เริ่มเปิดร้านออนไลน์มาประมาณ 2 ปีแล้ว โดยระยะแรก แนะนำเว็บไซด์โดยใช้วิธีฝากลิงค์ไปตามเว็บไซต์สาธารณะต่างๆ จากนั้นไม่นาน ลูกค้ารู้จักมากขึ้น จากกระแสบอกต่อ ทำให้สินค้ามียอดสั่งเพิ่มขึ้นโดยลำดับ **ต่อยอดพลิกดีไซน์เก๋ จากชุดนอนเด็ก ขยายสู่สินค้าอื่นๆ เพิ่มเติม ทั้งชุดนอนผู้ใหญ่ ชุดกระโปรง กางเกงเล และกระเป๋าผ้า โดยหยาดพิรุณจะเป็นคนออกความคิด ส่วนแม่รับหน้าที่ตัดเย็บคนเดียวทั้งหมด รวมแล้วมีกว่า 20 แบบ มีทั้งผ้าสีพื้น ผ้าลายดอก และผ้าลายไทย ใช้พันธุ์ดอกไม้ต่างๆ เป็นชื่อเรียกแทนเสื้อผ้าแบบต่างๆ เช่น ลีลาวดี ลำดวน ชบา เล็บมือนาง เป็นต้น เพื่อให้จดจำได้ง่าย ราคาสินค้านั้น มีตั้งแต่ 149 – 400 บาท โดยจะจัดส่งทางไปรษณีย์ หรือส่งด้วยตัวเอง

จัดเป็นชุด อย่างน่ารัก มีตุ๊กตาผ้าห้อย "น้องพริ้ม" แถมด้วย
เจ้าของธุรกิจ อธิบายต่อว่า การออกแบบจะให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างจากสินค้าตามท้องตลาดทั่วไป และคำนึงถึงการใช้สอยได้เหมาะสม อย่างกางเกงเลประยุกต์ให้สวมใส่ได้ง่าย กระชับเข้ารูปยิ่งขึ้น คล้ายกับกางเกงขาสั้น หรือกางเกง 3 ส่วน มีเชือกผูกเอวป้องกันหลุด เหมาะจะสวมใส่ไปนอกสถานที่ หรือใส่เที่ยวทะเลได้ ส่วนกระเป๋าใช้เศษผ้าที่เหลือมาเย็บต่อกัน นอกจากจะช่วยให้ใช้วัสดุอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้ว ยังมีส่วนช่วยปลุกกระแสแก้ปัญหาโลกร้อนด้วย นอกจากนั้น เพิ่มความน่าสนใจ ถ้าซื้อเป็นชุดของขวัญจะใส่แพกเกจถุงกระดาษรีไซเคิล พร้อมๆ กับมีตุ๊กตาผ้าตัวเล็กๆ ชื่อ “น้องพริ้ม” แถมให้ด้วย

ใส่แพจเกจกระดาษรีไซเคิล
หยาดพิรุณ กล่าวทิ้งท้ายว่า จากเดิมหวังแค่ให้แม่ทำเป็นงานอดิเรก แต่ยอดขายปัจจุบันเป็นหลักหมื่นบาทต่อเดือน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลอย่างปีใหม่ หรือสงกรานต์ยอดขายจะเพิ่มมากกว่า 2-3 เท่าตัว จนทำไม่ทัน ดังนั้น หากแนวโน้มยังดีต่อเนื่องเช่นนี้ อนาคตจะพัฒนาเป็นธุรกิจอย่างจริงจังยิ่งขึ้น เพื่อขยายกำลังผลิตให้มากยิ่งขึ้น *************************** โ
ทร. 081 207 7272 หรือ 038 60 6039 และ http://www.myhappymom.com/
Credit SMEs Manager

‘Dog in Bottle’ หมาจิ๋วไอเดียพริกขี้หนู






‘Dog in Bottle’ ตุ๊กตาปั้นหมานานาพันธุ์ ขนาดจิ๋วแค่ปลายนิ้วก้อย เห็นแล้วคงคิดว่าเป็นฝีมือประดิดประดอยจากหญิงสาวผู้ละเอียดอ่อน ตรงกันข้ามกับความจริง เพราะภาพลักษณ์ภายนอกเจ้าของผลงานอย่าง“พงศ์ธวัช เลิศกิจอนันต์” คือ ชายร่างใหญ่ สไตล์เพื่อชีวิต ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นผู้สร้างงานลักษณะนี้

พงศ์ธวัช เลิศกิจอนันต์ เจ้าของผลงาน
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้สัมผัสตัวตนแท้จริง ภายใต้บุคลิกขึงขัง ดุดัน คือ ชายอารมณ์ดี ร่ำรวยอารมณ์ขัน ซึ่งสะท้อนมาในผลงานอย่างชัดเจน ตุ๊กตาน้องหมาแต่ละตัวล้วนมีบุคลิกโดดเด่น แฝงไปความน่ารักแสนยียวนในสไตล์ไม่ซ้ำแบบใคร ถูกใจลูกค้าทั้งไทยและเทศ ขณะที่เส้นทางชีวิตเจ้าของผลงาน เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนสู้ชีวิตที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค หยิบงานอดิเรกพลิกชีวิต พงศ์ธวัช เล่าว่า ส่วนตัวร่ำเรียนมาด้านวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เกี่ยวข้องทางศิลปะเลย แต่ฝีมือปั้นมาจากตอนเรียนมัธยมต้นเมื่อกว่า 25 ปีที่แล้ว ในวิชาการงานอาชีพ มีสอนปั้นตุ๊กตาจากขนมปัง โดยส่วนตัวชอบทำงานนี้มาก ฝึกฝนจนชำนาญ สามารถปั้นขายหารายได้เสริมระหว่างเรียน

ขนาดเล็ก เพียงเท่าปลายนิ้วก้อย
กระทั่ง เรียนจบทิ้งงานนี้ไปเลย หันไปประกอบอาชีพต่างๆ สารพัด ตั้งแต่รับราชการ งานออกแบบกราฟฟิส วางระบบคอมพิวเตอร์ ฯลฯ จนถึงมีกิจการเป็นของตัวเอง เปิดบริษัทเป็นตัวแทนขายเครื่องคอมพิวเตอร์

มีกว่า 45 ชนิด
ทว่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจในเวลานั้น ประกอบคู่แข่งเพิ่มจำนวนมาก กระทบธุรกิจล้มเหลวจนเหลือศูนย์ แทนที่จะท้อแท้ เขากลับมองโลกในแง่ดี เริ่มต้นอาชีพใหม่ โดยหยิบงานอดิเรกตอนเรียนมัธยมมาสร้างรายได้เลี้ยงชีพ “ผมใช้ทุนแค่หลักพันบาท เช่าพื้นที่ในห้างซีคอนสแควร์ ตั้งโต๊ะเหล็กพับแค่ตัวเดียว นั่งปั้นขาย ไม่ยึดติดว่า เคยทำธุรกิจจับเงินเป็นล้าน มาขายตุ๊กตาตัวละไม่กี่สิบบาท เพราะผมถือว่า คนเรามีขึ้นได้ ก็มีตกได้ คนที่เขาลำบากกว่าเรามีอีกมาก” พงศ์ธวัช ย้อนให้ฟังถึงก้าวแรกในอาชีพนี้ เมื่อกว่า 7 ปีที่แล้ว

แบบใส่ขวด
ผุดคาแลกเตอร์น้องหมาสไตล์กวน เหตุผลที่เลือกจะปั้นเป็นหมา เพราะเป็นสัตว์ที่ใกล้ชิดและผูกพันกับคนมากที่สุด รวมถึง มีหลากหลายพันธุ์ เหมาะสำหรับซื้อหาไปเป็นของเก็บสะสม มีให้เลือกทั้งแบบใส่ขวด ซึ่งเป็นที่มาของแบรนด์ Dog in Bottle รวมถึง แบบใส่กล่องพลาสติก ทำเป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะ นาฬิกาแขวน และจัดเป็นชุดใส่กรอบไม้ เป็นต้น

จุดเด่นเป็นงานแฮนด์เมด หน้าตาและท่วงท่าแสนกวน ดูน่ารัก ขนาดแค่ปลายนิ้วก้อย สูงราว 1 เซนติเมตร โดยการออกแบบนั้น พงศ์ธวัช ให้นิยามเป็นการสร้างบุคลิกตัวละคร นำหมาพันธุ์ต่างๆ มาแปลกโฉมตามจินตนาการ กลายเป็นตุ๊กตาหมาที่มีบุคลิกโดดเด่น ใครเห็นต้องหยุดมอง

ดัดแปลงเป็นนาฬิกาแขวน
“ผมเปรียบงานนี้เป็นการสร้างคาแรกเตอร์ตัวละครมากกว่างานปั้นหมา ไม่มีหมารูปแบบนี้ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ก็ยังดูรู้ว่าเป็นหมาพันธุ์ใด เป็นเอกลักษณ์ของผมเอง ถ้าปั้นเลียนแบบหมาจริงๆ ในที่สุด ก็จะไม่รู้ว่า งานลักษณะนี้เป็นของใครกันแน่ เหมือนดอกไม้ประดิษฐ์ ที่เน้นปั้นเลียนแบบของจริง สุดท้ายสินค้าก็เหมือนกันไปหมด” เจ้าของผลงาน เล่าถึงแนวคิดในการออกแบบ

แบบใส่กรอบพลาสติก และใส่ขวด
ราคาขาย แบบตัวเดียว บรรจุในขวด 95 บาท แบบใส่กล่องพลาสติกขนาดเล็ก ราคาอยู่ที่หลักร้อย ส่วนแบบที่ประยุกต์เป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะ นาฬิกาแขวน และจัดเป็นชุดใหญ่ใส่กรอบ ราคาอยู่ที่หลักพัน สูงสุดราว 5,000 บาท แบบหมา มีทั้งหมด 45 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นหมาพันธุ์ต่างประเทศ ซึ่งบุคลิกหน้าตาท่าทางโดดเด่นกว่าหมาพันธุ์ไทย

วัตถุดิบที่ใช้ คือ ดินสำหรับงานปั้นหัตถกรรมโดยเฉพาะ สีสันต่างๆ ผสมด้วยสีน้ำมัน การปั้นจำเป็นต้องอาศัยความชำนาญสูง เพราะต้องแข่งกับเวลาก่อนที่ดินจะแข็งตัว เฉลี่ยต่อชิ้นใช้เวลาทำ 20 นาที ในหนึ่งวันมียอดผลิตเฉลี่ย 20-30 ตัว ถึงสูงสุดกว่า 50 ตัว กลุ่มลูกค้าแบ่งเป็นชาวไทยและต่างชาติอย่างละครึ่ง เปิดตัวประกาศฝีมือไทย ในปัจจุบัน พงศ์ธวัชตั้งโต๊ะปั้นโชว์สดๆ พร้อมขายอยู่ที่ชั้น 6 ศูนย์การค้ามาบุญครอง โดยเริ่มเปิดตัวเองจริงจังเมื่อต้นปี (2551) ที่ผ่านมา จากเดิมอยู่เบื้องหลังผลิตและมีตัวแทนรับไปจำหน่ายต่างประเทศ

จัดเป็นชุด ใส่กรอบ
เจ้าของผลงาน ขยายความว่า หลังเริ่มขายที่ห้างซีคอนฯ ไม่นาน ผลงานไปเข้าตาตัวแทนจำหน่าย สั่งผลิตระยะยาวนำไปขายยังต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย เป็นต้น ดังนั้น ระยะเวลาที่ผ่านมากว่า7 ปี จะทำงานอยู่ที่บ้านส่งตามออเดอร์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผลงานหมาในขวด เมื่อไปขายปลีกต่างประเทศ มีราคาสูงถึงตัวละ 13.5 เหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงกว่าราคาส่งหลายเท่าตัว อีกทั้ง ถูกอ้างอิงว่าผลิตในต่างประเทศ จึงตัดสินใจ เลิกผลิตเพื่อส่งออก หันมาขายด้วยตัวเอง เพื่อจะให้คนทั่วไปรู้ว่า ผลงานนี้เป็นฝีมือคนไทย

ชาวต่างชาติให้ความสนใจ
กระตุ้นสร้างผลงานด้วยตัวเอง พงศ์ธวัช ระบุด้วยว่า คำถามที่พบบ่อยที่สุด คือ สอนหรือไม่ ส่วนตัวแล้วยินดีแนะนำวิธีทำพื้นฐาน ทว่า สิ่งสำคัญ อยากให้แต่ละคน นำความรู้ไปต่อยอดสร้างสรรค์ผลงานในสไตล์ของตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้ยืนอยู่ได้ในระยะยาว “คนที่สนใจมาทำอาชีพนี้ ต้องรู้ตัวเองก่อนว่า ชอบจริงหรือไม่ เพราะเป็นงานที่ต้องใช้เวลาจดจ่ออยู่กับสิ่งเดิมๆ นานๆ นอกจากนั้น ผมอยากให้ดึงจินตนาการของตัวเองมาใช้ เพื่อคิดแบบของตัวเองไม่ให้ซ้ำกับใคร อย่าเลียนแบบงานของใคร ไม่เช่นนั้นก็ต้องเป็นผู้ตามตลอดไป” พงศ์ธวัช ระบุ พร้อมทิ้งท้ายว่า

ในหัวยังมีแนวคิดพัฒนาต่อยอดธุรกิจไปอีกมากมาย ทั้งด้านสร้างตัวละครใหม่ และประยุกต์เป็นสินค้าอื่นๆ แต่เนื่องจากทุกวันนี้ ทำงานคนเดียว จนไม่เหลือเวลาสำหรับการสร้างสรรค์ ในอนาคตอยากหาทีมงานมาเสริม เพื่อจะแบ่งเวลาไปทำผลงานตามที่จินตนาการไว้ ***********************
โทร.081-923-8171 , 081-777-0213หรือ moodib.multiply.com
Credit SMEs Manager

‘บ้าน 1,000 ไม้’จิบกาแฟกลางสวน ธรรมชาติชานเมืองที่คนกรุงโหยหา









ท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมเมือง ทำให้คนกรุงหลายต่อหลายคนเริ่มเบื่อหน่าย พยายามหาเวลาว่างเพียงเล็กน้อย หามุมสงบเพื่อให้สมองได้พักผ่อน โดยเฉพาะช่วงเวลาดื่มกาแฟ หากได้สถานที่ที่ร่มรื่น กลางแมกไม้ พร้อมฟังเสียงน้ำตก ลิ้มรสสลัดผักปลอดสารพิษ ที่เลือกเองกับมือ คงจะช่วยชาร์ตแบตให้กับชีวิตคนกรุงได้เป็นอย่างดี

จากจุดนี้เองทำให้ 2 สามีภรรยา คือ พชรพล กับฐานิสสรา ทรงศรี ที่สร้างตำนานรักมาตั้งแต่สมัยเรียนที่คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาพืชสวน จากเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่ชื่นชอบต้นไม้ และการจัดสวนด้วยกันทั้งคู่ แต่เมื่อเรียนจบต่างก็แยกย้ายไปเป็นมนุษย์เงินเดือน โดยที่ไม่ได้ทำงานตรงกับสายงานที่เรียนมา จนกระทั่ง พชรพล ได้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นครูพละ มารับจ้างจัดสวนอย่างเต็มตัว หลังจากที่ก่อนหน้านี้อาศัยช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ รับออกแบบ และจัดสวนให้กับลูกค้าอยู่บ่อยครั้ง

บรรยากาศร่มรื่น
“เมื่อผมได้ตัดสินใจออกมารับจัดสวนอย่างเต็มตัว และสถานที่ที่ต้องดูแลสวนให้อยู่เป็นประจำคือ หมู่บ้านเพอร์เฟค พาร์ค ย่านถนนรัตนาธิเบศร์ ทำให้ต้องรับส่งคนงานจากย่านจรัญสนิทวงศ์ มาที่นี่ทุกวัน จึงคิดที่จะหาเช่าที่ดินเพื่อสร้างบ้านพักให้กับคนงานแบบชั่วคราว สุดท้ายจึงได้ที่ดินประมาณ 1 ไร่เศษ สร้างที่พัก แต่ด้วยบรรยากาศของความเป็นชนบท ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 2 กิโลเมตร และพื้นที่ติดทุ่งนา จึงคิดปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ขึ้น โดยได้ขอคำปรึกษาจากอาจารย์ที่สถาบันการศึกษาเดิม เพื่อการใช้พื้นที่ให้คุ้มค่าในการปลูกผัก 200 ต้น รวม 6 ชนิด ต่อมาจึงต่อยอดเป็นออฟฟิศ สำหรับติดต่องานด้านการจัดสวน และกลายเป็นร้านกาแฟในสวน พร้อมบริการอาหารเมนูง่าย อย่างสลัดผักสดที่ปลูกเอง และข้าวผัด ในที่สุด”

เก้าอี้จัดวางไว้หลายมุมให้ลูกค้าเลือก
ในส่วนของเมนูกาแฟ ไม่น่าเชื่อว่าทั้งคู่ ไม่ได้ชื่นชอบการดื่มกาแฟมากนัก โดยเหตุผลสั้นๆ ของฐานิสสรา บอกว่า กลัวแก่เร็ว ในขณะที่ฝ่ายชาย พชรพล หรือคุณโก้ ดื่มกาแฟไม่ได้เลย แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ เพราะฐานิสสราพยายามเฟ้นหาวัตถุดิบกาแฟที่มีคุณภาพ นำร่องด้วยการขอซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟ มาแบรนด์หนึ่ง พร้อมข้อต่อรองขอซื้อเพียงวัตถุดิบ และการอบรมการชงกาแฟสูตรต่างๆ โดยที่ไม่นำป้ายแบรนด์มาติดที่ร้าน และขอตกแต่งร้านตามสไตล์ของตนเอง ซึ่งทางแบรนด์นั้นก็ยินยอม และกลายมาเป็น “บ้าน 1,000 ไม้” หรืออีกความหมายหนึ่งคือ “บ้านพรรณไม้”

มุมริมน้ำตกขนาดย่อม ให้ความรู้สึกผ่อนคลายไปอีกแบบ
“จุดเด่นของร้านเรา นอกจากบรรยากาศที่ดูร่มรื่นแล้ว ความเป็นกันเองกับลูกค้ายังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ จากความได้เปรียบที่เราทั้งคู่ มีความรู้เรื่องต้นไม้ และรักในการปลูกต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ ทำให้ลูกค้าที่สนใจจะจัดสวนหรือขอคำแนะนำในการทำให้บ้านร่มรื่นเข้ามาอุดหนุน และปรึกษาเป็นประจำ เพราะนอกจากเราจะช่วยแนะนำแล้ว ยังสามารถจัดหาต้นไม้ หรือร้านที่สามารถไปหาซื้อต้นไม้ที่ลูกค้าต้องการได้ รวมถึงลูกค้ายังสามารถเลือกสรรผักปลอดสารพิษที่ปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ไปรับประทานด้วยตัวเองได้อีกด้วย ซึ่งรูปแบบการทำธุรกิจเช่นนี้ ทำให้ตัวสินค้าของบ้าน 1,000 ไม้ เชื่อมโยงกันได้หมดทุกส่วน” พชรพลกล่าว

ที่แขวนอุปกรณ์ปลูกดอกไม้ขนาดเล็ก
แม้จะเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่เกิดจากความตั้งใจของผู้ประกอบการที่เริ่มต้นจากการเป็นผู้รักต้นไม้ จนกลายเป็นร้านกาแฟ และศูนย์รวมของผู้ที่ต้องการให้บ้านร่มรื่นดูเป็นธรรมชาติ ในเรื่องของราคาเครื่องดื่มก็เริ่มต้นในราคาที่ไม่สูงเกินไปนักที่ 20-35 บาทเท่านั้น ซึ่งถือเป็นราคาที่คุ้มค่าหากได้มานั่งจิบกาแฟท่ามกลางพรรณไม้ ฟังเสียงน้ำตก ลิ้มรสผักสดๆ จากแปลงปลูกตรง ส่งผลให้ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นในรูปแบบของครอบครัว และผู้ที่อาศัยในหมู่บ้านเพอร์เฟค พาร์ค ย่านถนนรัตนาธิเบศธ์ ที่แม้จะไกลจากถนนใหญ่เข้ามาในซอยประมาณ 3 กิโลเมตร แต่ก็ถือว่าเป็นสถานที่เหมาะกับการมานั่งพักผ่อน และหลีกหนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่ได้เป็นอย่างดี

ภายในร้านกาแฟ
โดยในอนาคตพชรพล บอกว่า หลังจากที่ตนศึกษาตลาดการจัดสวนของผู้คนในสมัยนี้แล้ว ก็พบว่าพยายามสรรหาอุปกรณ์ตกแต่งสวนที่ดูมีความน่ารักด้วยตนเองในรูปแบบของสินค้าสำเร็จรูป ซื้อไปแล้วสามารถนำไปแต่งสวนได้เลย แทนการจ้างนักจัดสวนมาออกแบบให้ เนื่องจากใช้งบประมาณที่สูงกว่า ดังนั้นตนจึงคิดที่จะคิดแทนลูกค้าว่าต้องการอะไรแล้วคิดทำสิ่งเหล่านั้นขึ้น เช่น ไม้ระแนง กล่องไปรษณีย์ จักรยานไม้สำหรับวางกระถางต้นไม้ โคมไฟ ที่แขวนอุปกรณ์ปลูกต้นไม้ และทางเท้า เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะออกมาภายใต้คอนเซ็ปต์ศิลปะในสวน เน้นงานไม้นำมาเพ้นท์ ในราคาประหยัด พร้อมผลิตตามสั่งเพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบสวนของแต่ละบ้านด้วย คาดว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ จะโดนใจผู้บริโภค พร้อมเริ่มจำหน่ายต้นเดือนมีนาคม 2552 นี้ ที่ร้านบ้าน 1,000 ไม้


ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัว ที่มักพาลูกหลานมาใกล้ชิดธรรมชาติ
***สนใจติดต่อ 0-2410-5080 หรือ 08-9141-9198***

มุขมณี”การ์ตูนแห่งกาลเวลา เพิ่มค่างานศิลป์เพื่อการค้า



การสร้างงานศิลปะผ่านการเขียนภาพ เป็นหนทางหนึ่งในการสร้างรายได้ เพียงแต่ต้องรู้จักปรับให้งานเขียนภาพของตนเอง สามารถทำการค้าในเชิงพาณิชย์ได้ นอกเหนือจากการวาดภาพติดผนัง อย่างผลงาน การ์ตูนประกอบนาฬิกา ของ ร้านมุขมณี ที่ลูกค้าย่านตะวันนารู้จักกันดี ผลงานการออกแบบ ของ นายวิทยา มุขมณี อาจารย์สอนด้านศิลปะ แห่งวิทยาลัยศิลปหัตถกรรม กรุงเทพฯ ที่อาศัยความรู้ด้านงานเขียนที่ถนัด มาปรับทำให้งานศิลปะที่ไปด้วยกันได้กับงานพาณิชย์ โดยเลือกงานเขียนแนวการ์ตูนที่ดูสดใสและน่ารัก มาผสมผสานกับงานศิลปะได้อย่างลงตัว ซึ่ง ได้ออกมาเป็นผลงานการ์ตูนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของร้านมุขมณี

บรรยากาศภายในร้านเจ้าของร้านเป็นกันเอง
นายวิทยา เล่าว่า ได้เริ่มทำร้านมุขมณี ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณการค้าย่านตะวันนา เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา เริ่มจากการวาดภาพเขียนแนวศิลปะตามความถนัด เช่น ภาพวิว ทิวทัศน์ต่างๆ แต่เนื่องจากในย่านซึ่งเป็นที่ตั้งของร้าน กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น วัยเริ่มทำงาน จึงต้องออกแบบสินค้าให้เหมาะกับความต้องการของตลาด ได้ลองหันมาทำงานเขียนแนวการ์ตูน ซึ่งการ์ตูนของผมจะออกแนวอาร์ตไม่ค่อยน่ารัก จึงสอนให้แฟนทดลองวาด เพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิงน่าจะวาดออกมาได้น่ารัก และหวาน เหมาะกับลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่น "ทั้งนี้ ก็เป็นไปอย่างที่วางแผนไว้ เพราะแฟนผมสามารถวาดออกมาได้น่ารัก และเป็นการ์ตูนแนวหวานสีสันสดใส ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงได้นำตัวการ์ตูนที่ผมและแฟนช่วยกันวาดและออกแบบมาเป็นคอนเซ็ปต์ของร้านที่ไม่เหมือนใคร โดยผมมีหน้าที่วาดโครงร่าง รวมถึงออกแบบท่าทางและชุดที่สวมใส่ ส่วนแฟนผมจะทำหน้าที่วาดรูปใบหน้า ซึ่งการ์ตูนจะออกมาหวานและน่ารักแค่ไหน จุดหนึ่งก็มาจากใบหน้าด้วยเหมือนกัน ซึ่งหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า รูปหน้าการ์ตูนของร้านผมมีใบหน้าคล้ายกับคนวาด" นายวิทยากล่าว

ภาพเขียนฝีมือ คุณน้ำฝน ภรรยา
ด้านนางน้ำฝน มุขมณี แฟนสาว เล่าว่า รูปหน้าการ์ตูนได้รูปแบบมาจากตุ๊กตาบาร์บี้ของเล่นของลูกสาว จะเห็นได้ว่า รูปหน้าบางรูปคล้ายตุ๊กตาบาร์บี้ และ ยังได้มีการนำแบบอย่างของตุ๊กตาบาร์บี้ซึ่งจะเปลี่ยนใส่ชุดต่างๆ หลากหลายรูปแบบมาเป็นแบบอย่าง ซึ่งตัวการ์ตูนของเราจะเปลี่ยนชุดไปตามคาร์แรกเตอร์ โดยพยายามสร้างคาร์แรกเตอร์ใหม่ออกมาให้เหมาะสมกับเทศกาลความต้องการของลูกค้า เช่น วันเกิด รับปริญญา งานแต่งงาน หรือ ช่วงเทศกาลปีใหม่

นายวิทยา มุขมณี เจ้าของผลงาน
สำหรับกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มวัยรุ่น ไปจนถึงวัยทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง ส่วนผลงานที่ออกแบบ ชิ้นงานหลัก จะเป็นรูปแบบของนาฬิกา พวงกุญแจ และภาพเขียนติดผนัง ฯลฯ โดยจะมีการปรับรูปแบบให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ นอกเหนือจาก การเป็นภาพติดผนังธรรมดา และมีการปรับลูกเล่นของชิ้นงานให้ดูแปลกใหม่ เช่น มีการติดบานพับ ปิด- เปิดได้อีกด้านหนึ่ง หรือ มีการปรับให้งานออกมาดูหวานมากขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งมีแผนที่จะนำรูปแบบของวัสดุ อุปกรณ์ ในแบบใหม่เข้ามาใช้เพิ่มมากขึ้น เช่น เป็นการนำงานหล่อยางพารามาผสมกับงานเขียน หรือ การนำงานเขียนมาผสมผสานกับงานประติมากรรมภาพนูนต่ำ เป็นต้น ส่วนราคางานเขียนของร้านมุขมณี ไม่ได้คิดแพงมาก ราคาเริ่มต้นเพียง 150 บาท สำหรับนาฬิกาขนาด 8x10 เซ็นติเมตร หรือ ขนาด 12x17 เซ็นติเมตร ราคา 250 บาท ขนาด 12x24 เซ็นติเมตร ราคา 300 บาท ถึง 350 บาท ส่วนงานเขียนที่เป็นงานศิลปะภาพติดผนัง ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 800 บาทถึง 1,000 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่ายและขนาด

โดยลูกค้าที่มาสั่งทำตามแบบ หรือการเขียนภาพเหมือนล้อเลียน คิดเพิ่มอีก 50 บาท โดยงานสั่งทำตามแบบจะใช้เวลา 1วันถึง 2 วันต่อชิ้น ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้ามาสั่งทำภาพเหมือนสไตล์ล้อเลียนการ์ตูน คือ เป็นรูปหน้าเป็นภาพเหมือนขนาดใหญ่ ส่วนตัวเป็นการ์ตูนตัวเล็ก ลูกค้าส่วนใหญ่ให้ความสนใจมาวาดภาพเหมือน สไตล์การ์ตูนกันมาก โดยเฉพาะในช่วงงานรับปริญญา นายวิทยา เล่าว่า จากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา ใช้แผนกระตุ้นตลาดด้วยการลดราคาสินค้าลงมา ซึ่งก็ได้ผลดี เพราะลูกค้าที่เคยเป็นลูกค้าเรามาก่อน เมื่อกลับมาอีกครั้งและเห็นว่าราคาถูกลงก็มีการซื้อเพิ่ม ยอดขายจึงออกมาใกล้เคียงกับช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้ตกไปตามภาวะเศรษฐกิจแต่อย่างใด ส่วนยอดขายที่ผ่านมาในช่วงปกติอยู่ที่วันละประมาณ 2,000 บาท ถึง 3,000 บาท และในช่วงเทศกาลยอดขายเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

รูปในแอคชั่นต่าง ที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งในความสำเร็จร้านมุขมณี ในวันนี้ เกิดขึ้นจากการรู้จักที่จะปรับเปลี่ยน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ในส่วนของนายวิทยา นอกจากเป็นพ่อค้าแล้ว ก็ยังมีงานประจำ คือ เป็นอาจารย์สอนด้านศิลปะ อยู่ที่วิทยาลัยศิลปหัตถกรรม กรุงเทพฯ ผู้ใดต้องการจะมีความรู้ด้านงานวาดภาพสามารถไปเรียนได้
โทร.08-1346-5722,08-4013-5369
Credit SMEs Manager

Saturday, April 4, 2009

Coffee Car กาแฟสด ธุรกิจคนขยันต้นทุนน้อย


ความขยันอดทน ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจในยุคนี้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็กหรือใหญ่ ปรัญชาในการดำเนินชีวิตนี้ย่อมใช้ได้เสมอ จากตัวอย่างจาก 2 สามีภรรยา ที่เคยทำงานประจำ แต่ก็ได้นำประสบการณ์ด้านการทำอาหาร มาปรับใช้กับธุรกิจ ที่ถึงแม้จะไม่ตรงกับสายงานที่ทำมามากนัก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ได้มาคือ ความขยัน อดทน ที่เป็นคุณสมบัติที่จำเป็นต่อธุรกิจ “Coffee Car” ในยุคนี้การขายสินค้าที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ให้ลูกค้ามีความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าให้มากที่สุด เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญยิ่ง ในขณะที่การแข่งขันก็มีสูง ดังนั้นใครที่สามารถยึดทำเลทองได้ก่อน โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ เพียงจ่ายแค่ค่าที่จอดรถ ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง โดยชัยวัฒน์ กับอชิรญาณ์ ดีเจริญ 2 สามีภรรยาเจ้าของธุรกิจ Coffee Car ซอยรางน้ำ เล่าว่า เดิม อชิรญาณ์ ทำงานด้านอาหาร แต่เมื่อแต่งงานก็ต้องมาช่วยงานร้านขายส้มตำของครอบครัวสามี แต่ลึกๆ แล้ว ทั้งคู่อยากเปิดร้านในฝันอย่างร้านกาแฟเป็นของตัวเอง จึงเริ่มสำรวจทำเล พร้อมหาพื้นที่เช่าหน้าร้านขายกาแฟ แต่สุดท้ายต้องยอมจำนนกับค่าเช่าที่แสนแพง

รสชาติกาแฟเข้มข้น
“เมื่อเราทั้งคู่เจอค่าเช่าที่ค่อนข้างสูง จึงคิดดัดแปลงรถซูบารุ ที่เดิมใช้เป็นรถขนวัตถุดิบของร้านส้มตำ มาต่อเติมเป็นรถขายกาแฟ หวังลดต้นทุนในเรื่องค่าเช่าที่ จ่ายเพียงค่าที่จอดรถเท่านั้น ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่า ในขณะที่ปัญหาต่อมาคือ การทำกาแฟสดจากเครื่องชงกาแฟ ที่ต้องใช้ไฟฟ้า แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่ข้อจำกัดของรถซูบารุ เพราะหากไปจอดในสถานที่ที่ไม่มีที่ให้เชื่อมต่อไฟฟ้า ก็จะไม่สามารถทำกาแฟสดได้ จึงได้ควานหาเครื่องชงกาแฟที่คุณภาพกาแฟที่ออกมาไม่แพ้การชงจากเครื่องชงกาแฟ โดยที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า จนมาเจอเครื่องชงกาแฟสดขนาดกระทัดรัด ใช้ความร้อนจากเตาอินฟราเรด ที่สามารถชงกาแฟสดออกมาได้รสชาติเหมือนกับชงจากเครื่องกาแฟสด”

Coffee Car จากรถซูบารุ
หลังจากที่ตัดสินใจเปิดร้าน Coffee Car ทำให้คุณน้องไปเรียนการทำเครื่องดื่มชนิดต่างๆ เพิ่มเติม และลองมาเปิดร้านในย่านซอยรางน้ำ ใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ด้วยรถซุบารุที่ถูกออกแบบมาเพื่อขายเครื่องดื่มโดยเฉพาะ แม้ในช่วงแรกทั้งคู่จะพบปัญหาในเรื่องที่จอดรถ ต้องโดนย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ท้อแท้ พยายามขยับพื้นที่มาเรื่อยๆ จนได้พื้นที่ลงตัวคือ ตรงข้ามโรงแรม พูลแมน บางกอก คิงเพาเวอร์ ซึ่งมีลูกค้าหลักคือพนักงานออฟฟิศ และผู้ที่ผ่านมาในย่านนี้ โดยส่วนใหญ่มักจะสะดุดในรูปลักษณ์ของรถซูบารุ และเครื่องชงกาแฟสดขนาดกระทัดรัด ที่ลูกค้าเมื่อเห็นเค่เครื่องชง เกือบทุกรายต้องขอชิมรสชาติกาแฟสดจากเครื่องนี้ ส่วนการลงทุนธุรกิจนี้ถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่สูงเกินไป เหมาะกับยุคนี้ที่จะทำให้คนตกงานสามารถเริ่มต้นธุรกิจ คือ ราคารถซูบารุที่ซื้อมาตั้งแต่แรกราคา 5 แสน (คุณน้องแนะนำว่าหากผู้ที่มีรถยนต์หรือรถจักยานยนต์อยู่แล้ว ก็สามารถนำมาดัดแปลงเป็นรถขายกาแฟได้ ขึ้นอยู่กับงบประมาณ) ในขณะที่ค่าตกแต่งของรถซูบารุคันนี้อยู่ที่ 30,000-40,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาเริ่มต้นที่ไม่สูงเกินไปนัก โดยเฉพาะกับธุรกิจการขายเครื่องดื่มกาแฟสด และเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ เพราะหากขายดีก็จะคืนทุนเร็ว ซึ่งร้าน Coffee Car เคยทำสถิติการขายเครื่องดื่มหลากหลายชนิดทั้งกาแฟสด ชามะนาว โกโก้ ชาเย็น บลูโซดา ฯลฯ ได้ถึง 3,700 บาท (ยังไม่หักค่าใช้จ่าย) ซึ่งถือเป็นวันที่มีรายได้มากที่สุดตั้งแต่เปิดขายมา

อชิรญาณ์ กำลังชงกาแฟสดจากคเรื่องชงกาแฟขนาดกระทัดรัด
“เราพยายามคิดเมนูเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ ขึ้นมาอย่างเนื่อง โดยอาศัยการคิดแทนลูกค้าที่บางครั้งอาจเบื่อหน่ายกับเครื่องดื่มที่มีนมผสม ดังนั้นเราจึงทำน้ำผลไม้ขึ้นมาด้วย เช่น น้ำลำไย น้ำมะพร้าว เก็กฮวย น้ำมะนาวใบเตย ขายในราคาแก้วละ 15 บาท ในขณะเครื่องดื่มอย่างกาแฟ ชานมเริ่มต้นที่ 15-30 บาทเท่านั้น” นอกจากทั้งคู่จะเน้นไปที่ธุรกิจ Coffee Car แล้ว ความขยันในการดำเนินธุรกิจยังไม่จบ เพราะทั้งคู่ยังทำคอฟฟี่ เบรก (Coffee break) ด้วย โดยตกกล่องละ 30 บาท ประกอบด้วยน้ำผลไม้ และแซนด์วิช ในขณะที่ในแต่ละวันก่อนไปขายกาแฟ ทั้งคู่จะตื่นแต่เช้ามืดเพื่อทำแซนด์วิช และน้ำผลไม้บรรจุขวด ส่งตามร้านกาแฟโบราณ โดยจัดส่งแซนด์วิชประมาณ 600 กล่อง/วัน

ผู้เป้นสามีช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง
มาวันนี้ความที่ทั้งคู่ขยันอดทน กับธุรกิจเล็กๆ ที่ต้องต่อสู้กับสภาพอากาศร้อนของเมืองไทย ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความขยันและอดทนสามารถใช้ได้กับทุกธุรกิจจริงๆ และถือเป็นสิ่งดีๆ ที่คนตกงานสามารถนำไปปรับใช้กับการเริ่มต้นชีวิตใหม่กับธุรกิจเล็กๆ อย่างรถกาแฟ ก็สามารถเติมเต็มชีวิตที่เคยผิดหวังในฐานะมนุษย์เงินเดือนไปได้
***สนใจติดต่อ 08-6097-9696, 08-1845-7086***
Credit SMEs Manager

เครปเย็น อินเทรนด์ทำเงินจากวัยโจ๋

อาหารญี่ปุ่นและขนมญี่ปุ่นกำลังได้รับความนิยมจากคนไทย-วัยรุ่นไทย และมีการพัฒนาเมนูหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า “เครปญี่ปุ่น” โดยปรับสูตรเป็น “เครปร้อน” ตัวแป้งจะกรอบ ไส้เหมือนที่ใส่ในขนมปัง ทำเสร็จต้องทานทันทีมิฉะนั้นจะไม่อร่อย ขณะที่ “เครปเย็น” แบบญี่ปุ่น แป้งจะเหนียวนุ่มและมีความยืดหยุ่นสูง สามารถใช้ส่วนผสมของไส้เย็น ประเภทผลไม้สด ครีมสด ไอศกรีมชนิดต่าง ๆ ฯลฯ เข้ามาผสมได้อย่างลงตัวพอดี ๆ ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีสูตรการทำเครปเย็นมานำเสนอให้ลองพิจารณา...กัญชญาษร จุฑาพานิช หรือ “มุ่ย” เป็นเจ้าของหุ้นส่วนธุรกิจอิชิเครปเย็น เจ้าตัวเล่าถึงจุดเริ่มต้นของธูรกิจนี้ว่า ไปเที่ยวญี่ปุ่น เห็นมีร้านขายเครปชนิดนี้อยู่เยอะ แต่ละร้านจะขายดี มีการต่อคิวซื้อกันเป็นจำนวนมาก ก็สนใจ พอได้ชิมก็ชื่นชอบในรสชาติ ขอนามบัตรจากทุกร้าน เมื่อกลับมาก็คุยกับเพื่อนสนิทว่าอยากจะลองทำธุรกิจตัวนี้ดู เมื่อตกลงเข้าหุ้นกันเรียบร้อยแล้ว จึงติดต่อขอซื้อสูตรจากญี่ปุ่น“พอกลับมาก็ลองทำฝึกทำดู โดยการหาซื้อวัตถุดิบภายในประเทศ ซึ่งราคาถูกกว่า ทำให้สามารถขายได้ในราคาถูกกว่าของญี่ปุ่นหลายเท่า เครปสูตรดั้งเดิมรสชาติจะจืด ๆ ไปหน่อย เพราะคนที่โน่นเขาไม่ทานรสจัด พอเราทำขายในเมืองไทยจึงต้องมีการปรับปรุงรสชาติให้เข้มข้นขึ้น ดัดแปลงรสชาติหรือไส้ให้มีหลากหลายชนิด กว่าจะลงตัวก็ใช้เวลาพอสมควร ตอนนี้มีกว่า 20 รสชาติ เพื่อรองรับลูกค้าทุกกลุ่มทุกวัย เช่น เยลลี่, คุกกี้, โอริโอ้, คอนเฟลก, ไอศกรีมรสต่าง ๆ หรือผลไม้ตามฤดูกาลก็นำมาใช้ได้”

มุ่ยบอกว่า ลูกค้าจะได้ซื้อในราคาที่ไม่แพง เป็นราคาขายที่คำนวณจากต้นทุน ลูกค้าสามารถเลือกหน้าผสมได้ตามใจชอบ สำหรับเมนูยอดฮิต ได้แก่ กล้วยหอม + สตรอเบอรี่ ครีมสด (วิปปิ้งครีม), ราดซอสช็อกโกแลต / โอรีโอ้ + ครีมสด / กล้วยหอม + ช็อกโกแลต / เค้ก + ครีมสด / มะม่วง+ ครีมสด / คอนเฟลก + ครีมสด / กีวี่+สตรอเบอรี่ / ปีโป้ + ครีมคัสตาร์ท / แบล็กเคอเรน+ ครีมคัสตาร์ท / โกโก้ครั้นซ์ + ครีมสด / กล้วยหอม + ครีมใบเตย / อัลมอนด์สไลด์ ฯลฯ ซึ่งทุกหน้าจะราดด้วยซอสช็อกโกแลต, ซอสสตรอเบอร์รี่ เทคนิคความอร่อย นอกจากตัวแป้งที่นุ่มเหนียว หน้าที่ใส่ก็สำคัญ อย่างผลไม้สดจะแช่เย็นไว้รอใช้ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำขายก็มี... แผ่นกระทะเหล็กแบน 14 นิ้ว (เตาสำหรับทำเครป), ไม้เกลี่ยหรือไม้หมุนแป้ง, เกรียงแซะแป้ง, ไม้ปาด (สปาตูล่า), ทัพพีกลม, มีด, เขียง, ถาดสแตนเลส, พัด, ตะเกียบยาว ๆ (สำหรับช้อนแป้งขึ้น) กระดาษห่อหรือกรวยกระดาษสำหรับใส่เครปส่วนผสมของแป้งก็มี... แป้งสาลี 4 ถ้วยตวง, ไข่ไก่ 4 ฟอง, เนยละลาย 200 กรัม, นมสด 500 กรัม และน้ำสะอาด 250 กรัม น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ เกลือหยิบมือ และกลิ่นวานิลาสังเคราะห์นิดหน่อยขั้นตอนการทำแป้ง “เครปเย็น” เริ่มจากร่อนแป้งก่อน พักไว้ ทำการตีไข่ผสมนมสดหนึ่งส่วน ใส่น้ำตาล เกลือ และนมสดที่เหลือจนหมด จากนั้นค่อย ๆ ใส่แป้งที่ร่อนในเครื่องปั่นให้เข้ากัน เติมเนยละลายทีละน้อย ๆ จนหมด ปั่นต่อไปอีก 10 นาที ใส่น้ำสะอาดและกลิ่นวานิลา คนให้ส่วนผสมแป้งเข้ากันดี สังเกตว่าแป้งเนียนดีแล้ว เทใส่ภาชนะนำเข้าตู้เย็นประมาณ 2 ชั่วโมงเมื่อต้องการทำเป็นเครป รอให้กระทะร้อนจนทั่ว ตักแป้งเทลงไปตรงกลาง เกลี่ยแล้วหมุนวนไปทางเดียว เกลี่ยแป้งให้เสมอกัน ใช้ไฟปานกลาง พอแป้งสุกใช้เกรียงแซะออกมาวางลงถาด พักให้เย็น นำวิปปิ้งครีมมาป้าย 1 ใน 5 ส่วน ใส่หน้าที่ต้องการ สตรอเบอร์รี่ผ่าเป็นสองซีก ส่วนกล้วยปอกเปลือกหั่นเป็นแว่นจัดให้สวยงาม ราดซอสเป็นการตบท้าย พับแป้งอีกให้คล้ายกรวย จากนั้นนำกระดาษหรือกรวยที่เตรียมไว้มาห่อราคาขายเริ่มตั้งแต่ 40 บาท จนถึง 65 บาท (ราคาขึ้นอยู่กับการผสมหน้าที่ใส่)
“เครปเย็น” เจ้านี้ มีขาย 3 สาขา คือที่ชั้นใต้ดินศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว, บิ๊กซีราชดำริ, เดอะมอลล์บางกะปิ และรับออกงานเลี้ยงต่าง ๆ โดยติดต่อมุ่ยได้ที่ โทร.08-1399- 6272, 08-6893-5599 และตอนนี้ทางร้านก็กำลังศึกษาเรื่องแฟรนไซส์อยู่ อีกทั้งประมาณปลายปีนี้จะออกหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจเครปเย็น เริ่มตั้งแต่การเลือกวัสดุ ขั้นตอนการทำอย่างละเอียด วิธีการเปิดร้าน การดูทำเลขาย และการทำธุรกิจให้ก้าวหน้าด้วยเชาวลี ชุมขำ :รายงาน / สุรเชษฎ์ วัชรวิศิษฎ์ :ภาพ คู่มือลงทุน...เครปเย็นทุนเบื้องต้น ประมาณ 60,000 บาททุนวัตถุดิบ ประมาณ 70% ของราคารายได้ ราคาชิ้นละ 40-65 บาท แรงงาน 1-2 คนขึ้นไปตลาด ย่านอาหาร, ย่านวัยรุ่นจุดน่าสนใจ คนไทยรุ่นใหม่ ๆ นิยมทาน