Tuesday, November 28, 2023

เงินดิจิทัล 10000 บาท เริ่ม พ.ค. 67 นี้

 เปิดรายละเอียดโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท แจกอายุ 16 ปี ขึ้นไป ให้เฉพาะเงินเดือนต่ำกว่า 7 หมื่น มีเงินฝากรวมกันทุกบัญชีไม่เกิน 5 แสน ใช้จ่ายผ่านแอปฯเป๋าตัง ร้านค้า-ผู้ใช้ต้องลงทะเบียน ซื้อได้เฉพาะสิ้นค้าอุปโภคบริโภค ใช้ออนไลน์ จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ซื้อทอง เพชร ไม่ได้ เริ่ม พ.ค. 67-เม.ย. 70

วันที่ 10 พ.ย. 2566 เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า ดัชนีความไม่เท่าเทียม คนรวยและคนจนมีความเหลื่อมล้ำต่างกัน 9 เท่า การลงทุนน้อยลง ถือเป็นวิกฤติเศรษฐกิจที่ต้องได้รับการแก้ไข โดยรัฐบาลนี้ตระหนักดีว่าเราอยู่ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ รวมถึงยังมีสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-ฮามาส ทำให้ตลาดทั่วโลกได้รับผลกระทบเศรษฐกิจถดถอย ส่วนไทยเจอภาวะเม็ดเงินเหือดหาย แถมซ้ำเติมด้วยการเติบโตเศรษฐกิจใต้ดิน ทำให้เก็บภาษีไม่ได้ หากไม่เติมเม็ดเงินใหม่เข้าไป จะไม่มีเงินหมุนเวียนเพียงพอ การใช้จ่ายจะไม่เพียงพอ จะทำให้เศรษฐกิจถดถอยลงไปอีก เมื่อเติมเงินในกระเป๋าประชาชนจะทำให้การค้าขายคึกคัก ธุรกิจเล็กๆ จะค่อยๆ เติบโต หนี้สินจะหายไป โดยหลังจากวิกฤติต้มยำกุ้งเคยทำมาแล้ว ด้วยการส่งเสริมการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนควบคู่การส่งออก จนสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ 

นายกฯ ยืนยันว่า นโยบายการอัดฉีดเงินไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด เพราะหลายประเทศก็ทำ เช่น ญี่ปุ่น โดยทุกรัฐบาลมีความหวังจะต้องการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เหมือนที่รัฐบาลไทยทำในการอัดฉีดเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท นโยบายนี้คือการอัดฉีดให้เข้าไปให้ถึงทุกพื้นที่ ให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย หมุนเวียนในระยะเวลาอันรวดเร็ว 

“เงินทั้งหมดในโครงการนี้ จะถูกส่งตรงไปยังประชาชนทุกคน ที่ผ่านเงื่อนไข เข้าไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัล ขอบเขตการใช้งานจะทำแค่ในร้านค้า ที่อยู่ในอำเภอเดียวกับบัตรประชาชนของท่าน ย้ำนะครับ อำเภอ ซึ่งปรับขยายตามความเห็นของทุกภาคส่วน และต้องจ่ายเงินแบบ Face to Face (ต่อหน้า) และหากไม่ได้ใช้สิทธิที่เหลือก็จะถูกยกเลิกไปโดยอัตโนมัติ และเงินจะใช้ได้ถึง เมษายน 2570”

นายกฯ กล่าวต่อว่า เงินก้อนนี้ไม่ได้มาจากการสร้างเงิน เสกเงิน พิมพ์เงิน ไม่ได้เขียนโปรแกรมสร้างเงินเหมือน cryptocurrency และนำไปเทรดแลกเงินเพื่อเกร็งกำไรก็ไม่ได้ เงินนี้มีที่มาจากเงินบาท ที่มีเงื่อนไขการใช้งาน เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจสูงกว่าการอัดฉีดที่ผ่านมา ฉะนั้น เงิน 1 บาท คือ 1 บาทในกระเป๋า ร้านค้าและประชาชนต้องยืนยันรับสิทธิ

เงินดิจิทัล 10,000 ซื้ออะไรได้บ้าง 

"เรื่องของเงื่อนไข ซื้ออะไรได้ ไม่ได้ ผมขอพูดตรงนี้ให้ชัด

  • ประชาชนจะสามารถจะใช้ซื้อสินค้า อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคได้เท่านั้น 
  • ไม่สามารถใช้กับบริการได้ 
  • ไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ได้
  • ไม่สามารถซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม และผลิตภัณฑ์จากกัญชาและพืชกระท่อม
  • ไม่สามารถนำไปซื้อบัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณีได้
  • ไม่สามารถนำไปชำระหนี้ได้ 
  • ไม่สามารถจ่ายค่าเรียน ค่าเทอม ได้
  • ไม่สามารถนำไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติได้
  • แลกเป็นเงินสดไม่ได้ แลกเปลี่ยนในตลาดต่างๆ ไม่ได้

เรื่องประเภทร้านค้า 

  • ขอชี้แจงให้ชัดว่าใช้ซื้อสินค้าได้ทุกร้านค้า ไม่ได้จำกัดแต่ร้านที่อยู่ในระบบภาษี
  • ไม่จำเป็นต้องจด VAT
  • ร้านค้ารถเข็น ร้านโชห่วย ร้านค้าที่อยู่บนแอปเป๋าตัง ใช้ได้หมด แต่ต้องมีการลงทะเบียนรับสิทธิ และร้านค้าที่จะขึ้นเงินได้ต้องอยู่ในระบบภาษีเท่านั้น"นายกฯ กล่าวต่อว่า การจับจ่ายใช้สอยจะต้องเริ่มต้นที่ชุมชนก่อนเสมอ เงินตรงนี้จะเป็นการกอบกู้เศรษฐกิจ ซึ่งจะนำมาซึ่งการลงทุนในภาคประชาชน ทั้งเรื่องการประกอบการอาชีพ ของพ่อค้าแม่ค้า ไปจนถึงเอสเอ็มอี และโรงงานขนาดใหญ่ ยืนยันว่าโครงการนี้ไม่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ เพราะไทยมีอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำอยู่แล้ว ทั้งนี้รัฐบาลปรับเปลี่ยนเงื่อนไขให้เหมาะสมกับการรับฟังความคิดเห็น 

    “การปรับปรุงเป็นเงื่อนไขใหม่ โดยให้สิทธิกับเฉพาะผู้ที่มีเงินเดือนไม่ถึง 70,000 บาท และ มีเงินฝากทุกบัญชีรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท แปลว่า ถ้าเงินเดือนคุณเกิน 70,000 บาท ก็จะไม่ได้รับสิทธิ ถึงแม้ว่าเงินฝากคุณจะมีไม่ถึง 500,000 ก็ตาม และในขณะเดียวกัน ถ้าเงินฝากคุณเกิน 500,000 แต่เงินเดือนไม่ถึง 70,000 ก็จะไม่ได้รับสิทธินี้เช่นกัน”

    นายกฯ กล่าวว่า เงินในส่วนที่เหลือของโครงการ รัฐบาลจะนำมาใส่ในกองทุนเพื่อลงทุนพัฒนาประเทศ เช่น กองทุนเพิ่มขีดความสามารถ ซึ่งบริหารและดูแลโดย คณะกรรมการฯ ที่มี BOI เป็นผู้จัดการ ส่วนคนที่ไม่ได้รับสิทธิ รัฐบาลจะออกโครงการ e-Refund  ซึ่งประชาชนจะได้รับภาษีคืนจากการจับจ่ายสินค้าและบริการรวมมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท จากร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี และเฉพาะที่ออกใบกำกับภาษีในรูปแบบ electronics เท่านั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่จูงใจให้ร้านค้าเข้าสู่ระบบภาษีดิจิทัลมากขึ้น มุ่งไปสู่การเป็น e-Government ในอนาคต

    ขณะที่เรื่องของที่มาที่ไปของ เลข 70,000 และ 500,000 บาท มาจากการพิจารณาจากฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง ทำให้กลั่นกรองผู้ได้รับสิทธิในโครงการ Digital Wallet เหลือประมาณ 50 ล้านคน และจะใช้วงเงินในโครงการนี้เหลือเพียงประมาณ 5 แสนล้านบาท ส่วนเงินอีก 100,000 ล้านบาท จะสามารถนำใช้ในการผลักดันต่อยอดอุตสาหกรรมใหม่ๆ โครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ของประเทศได้ เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การพัฒนาบุคลากรและการศึกษา เป็นต้น

  • ที่มา ไทยรัฐ

7 อาชีพที่ตลาดแรงงานต้องการสูงสายงานไหนน่าจับตาในอนาคต

 เปิดโผอาชีพมาแรงที่ตลาดแรงงานต้องการสูงในปัจจุบัน

โลกเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของยุคปัจจุบันและกำลังสานต่อไปถึงอนาคต คนบนโลกต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานที่กำลังปรับเปลี่ยนทิศทางไปหลายรูปแบบ หลายคนกำลังมองโอกาสเพิ่มเติมทักษะที่จำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับอาชีพที่ตลาดแรงงานต้องการสูง และเกิดอาชีพใหม่ ๆ อีกมากเรียนจบมาไม่ตกงาน ช่วยให้เราทำงานสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่คือ 7 อาชีพมาแรงในปัจจุบัน

1.อาชีพด้านงานขาย

งานขายและการตลาดมาแรงไม่มีตกสายงานนี้ติดอันดับท็อปเพราะมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคช่วยกระตุ้นยอดขายของธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น พนักงานขายหน้าร้าน, พนักงานขายทางโทรศัพท์, พนักงานขายออนไลน์ และงานขายประกัน เป็นต้น

2.อาชีพด้านไอที 

ธุรกิจด้านไอทีและดิจิทัลมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ สายไอทีมืออาชีพมีหลากหลายตำแหน่งงานให้เลือก เช่น โปรแกรมเมอร์, นักพัฒนาซอฟต์แวร์, ผู้ดูแลระบบ, เว็บดีไซเนอร์, นักพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์, นักพัฒนา Mobile application เรียกว่าเป็นอาชีพที่ต่อยอดไปสายงานที่ใกล้เคียงได้ 

3.อาชีพด้านวิศวกร 

กลุ่มอาชีพสาขาวิศวกรรมเงินเดือนและผลตอบแทนดี มีโอกาสก้าวหน้าสูง มีหลายสาขาให้เลือกเรียนด้วยตั้งแต่วิศวกรรมซอฟต์แวร์, วิศวกรรมอัตโนมัติและหุ่นยนต์, วิศวกรรมพลังงานทดแทน, วิศวกรรมชีวการแพทย์, วิศวกรรมไฟฟ้า, วิศวกรรมเครื่องกล ฯลฯ

4.อาชีพด้านบัญชีและการเงิน 

เทรนด์อาชีพในอนาคต สำหรับคนจบสายบัญชีและการเงิน ต้องใช้ทักษะและความสามารถด้านการดูแลทำบัญชี เงินเดือนของพนักงาน ประกันสังคม และระบบภาษี นับเป็นอาชีพยอดฮิตสำหรับเด็กสายบัญชี อาจต่อยอดไปถึงอาชีพอื่น เช่น โบรกเกอร์และนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นต้น

5.งานด้านขนส่งและโลจิสติกส์

ตลาดต้องการงานด้านขนส่ง โลจิสติกส์ และเดลิเวอรี่ ทำเป็นอาชีพเสริม เช่น พนักงานขับรถขนส่งสินค้าหรือไรเดอร์ส่งอาหาร ช่วยคนที่กำลังรองานได้มีเงินใช้ไม่ขาดมือ

6.นักกายภาพบำบัด

เป็นวิชาชีพทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ไม่ใช่การรักษาด้วยยา ช่วยป้องกันและรักษาอาการผิดปกติของร่างกายที่เกิดขึ้นจากภาวะของโรคและสภาพร่างกาย ฟื้นฟูความเสื่อมสมรรถภาพหรือพิการ

7.อาชีพด้านการแพทย์และสุขภาพ

กลุ่มอาชีพในฝันสำหรับสายงานแพทย์, พยาบาล, เภสัชกร, นักกายภาพบำบัด หรือบริการด้านสุขภาพ เรียนจบมาไม่ตกงานแน่นอน เป็นที่ต้องการสูงในตลาดงานปัจจุบัน 

ส่องทิศทางอาชีพในอนาคต สายงานไหนมาแรง

เจาะลึกอาชีพที่มาแรงในอนาคต เรียนจบมามีแต่คนอยากได้ตัวซึ่งดูจากทิศทางความนิยมและแนวโน้มตกงานมีน้อยมาก

1.วิศวกรคอมพิวเตอร์ เป็นสายงานเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ และการป้องกันระบบเน็ตเวิร์กให้ปลอดภัยและมีเสถียรภาพสูง ต้องใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ทำให้ความเสี่ยงตกงานน้อยลงตามไปด้วย 

2.นักพัฒนาแอปพลิเคชัน คนทุกวันนี้ใช้งานสมาร์ทโฟนมากขึ้น ทำให้อาชีพนักพัฒนาแอปพลิเคชันเป็นสายอาชีพที่มาแรงและใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้งดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ช้อปปิ้งออนไลน์ สั่งอาหารเดลิเวอรี่หรือเรียกรถกลับบ้าน

3.สายวิทยาศาสตร์สุขภาพ อาชีพแพทย์, พยาบาล, เภสัชกร, นักจิตวิทยาบำบัด, นักเทคนิคการแพทย์ ฯลฯ ล้วนเป็นงานที่มีความมั่นคงและเป็นที่ต้องการมาก โดยเฉพาะหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 และโรคเกิดใหม่อื่น ๆ 

4.สัตวแพทย์และร้านค้าสัตว์เลี้ยง กลุ่มอาชีพที่เกี่ยวข้องสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นสัตวแพทย์, คลินิกสัตว์เลี้ยง, ร้านตัดขนสัตว์เลี้ยง, โรงแรมสัตว์เลี้ยง หรือร้านขายของสัตว์เลี้ยง ทั้งแบบหน้าร้านหรือร้านขายของออนไลน์เป็นกลุ่มอาชีพมาแรงและเป็นที่นิยมมากขึ้นในช่วงโควิดที่คนหันมาเลี้ยงสัตว์แก้เหงา

5.เจ้าของธุรกิจ Start-Up ปัจจุบันมีบริษัทสตาร์ทอัพมากขึ้นเป็นทางเลือกของคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ เข้ามาเป็นนักลงทุนอิสระในสายงานต่าง ๆ เช่น สุขภาพ การเงิน การท่องเที่ยว การเกษตรและอาหาร อสังหาริมทรัพย์ และความบันเทิง

6.สายงานโลจิสติกส์ กลุ่มอาชีพโลจิสติกส์เติบโตมากและเป็นที่ต้องการของตลาดจากการเติบโตของร้านขายของออนไลน์, ธุรกิจ E-Commerce และกลุ่มบริษัทขนส่งไปรษณีย์

7.อาชีพ Influencer คนที่มีอิทธิพลบนสื่อโซเชียลมีเดียจะสร้างสรรค์คอนเทนต์โพสต์ลงแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Blog, Instagram, Facebook, YouTube, Instagram,Twitter และ TikTok เพื่อให้ผู้ที่ติดตามจำนวนมากติดตามคล้อยตาม กลายเป็นอาชีพในฝันของคนรุ่นใหม่

ทักษะที่จำเป็น สอดคล้องกับตลาดแรงงานยุคปัจจุบันและอนาคต

คนทำงานทุกสายงานควรเรียนรู้พัฒนาทักษะใหม่ ๆ เพิ่มขีดความสามารถของตนเองมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็มีโอกาสได้ทำ อาชีพในอนาคตที่หลากหลายยิ่งขึ้นทักษะที่จำเป็นประกอบไปด้วย 

  • ทักษะทางภาษา ช่วยให้การทำงานราบรื่น ยิ่งเรียนรู้ภาษาสากลมากกว่า 1 ภาษาย่อมเพิ่มโอกาสการทำงานให้มากขึ้นเช่นกัน เช่น อังกฤษ, เยอรมัน, จีน และญี่ปุ่น
  • ทักษะทางการตลาด จำเป็นสำหรับงานด้านขายของและประกอบธุรกิจ ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสื่อสารทางการค้าและการตลาดเพื่อทำกำไรมากขึ้น
  • ทักษะทางเทคโนโลยี มีประโยชน์ต่อองค์กรทั้งการพัฒนาตนเอง ตั้งแต่โปรแกรม, แอปพลิเคชัน ไปจนถึงนวัตกรรมใหม่ และการทำงานออนไลน์โดยไม่ต้องเดินทางไปไหน 
  • ทักษะในการคิดและวิเคราะห์ ส่งผลดีต่อการบริหารธุรกิจให้ทำรายได้และทำกำไรสูง สามารถคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม ตลอดจนแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ดี

แน่นอนว่าทักษะที่จำเป็นสำหรับตลาดแรงงานคือการเตรียมพร้อมตนเองให้สอดคล้องกับงานที่ทำได้ดี ทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางการทำงานและประกอบอาชีพได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดแรงงานยุคปัจจุบันและในอนาคตได้

อ้างอิง:https://www.starfishlabz.com/

Thursday, September 22, 2022

ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2565 เปิดแล้วผ่าน 2 ช่องทาง

 ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" 2565 เปิดให้เช็กแล้วผ่าน 2 ช่องทาง พร้อมเผย "ตารางการประกาศผลการลงทะเบียน"

ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2565 เปิดแล้วผ่าน 2 ช่องทาง

โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 (บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้ข้อมูลผู้มีรายได้น้อยที่เป็นปัจจุบัน ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรสวัสดิการสังคมของภาครัฐให้แก่ประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

ล่าสุด นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการเปิดรับลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการฯ) ปี 2565 วันพฤหัสบดีที่ 15 ก.ย. 2565 ณ เวลา 15.00 น. มีประชาชนลงทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 13,111,355 ราย โดยเป็นการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ 8,373,969 ราย และลงทะเบียนผ่านหน่วยงานรับลงทะเบียน 4,737,386 ราย ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ 2 ช่องทาง คือ

1. ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th ได้ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ถึง 23.00 น. ของทุกวัน หรือ

2. ลงทะเบียนผ่านหน่วยงานรับลงทะเบียนทั้ง 7 หน่วยงาน ได้แก่ สาขาของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) สำนักงานคลังจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ สังกัดกรมบัญชีกลาง ที่ว่าการอำเภอทั้ง 878 อำเภอทั่วประเทศ ภายใต้กระทรวงมหาดไทย สำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร ทั้ง 50 เขต และศาลาว่าการเมืองพัทยา เมืองพัทยา ตามวันและเวลาทำการของแต่ละหน่วยงาน ได้ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. 2565 จนถึงวันที่ 19 ต.ค. 2565

สำหรับการลงทะเบียนในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถลงทะเบียนได้ที่สาขาของธนาคารข้างต้นที่เปิดให้บริการในห้างสรรพสินค้า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่ไม่สามารถลงทะเบียนได้ในวันธรรมดา

ทั้งนี้ สำหรับผู้ลงทะเบียนที่ลงทะเบียนและมีสถานะแสดงข้อความว่า "กระทรวงการคลังได้รับข้อมูลการลงทะเบียนของท่านครบถ้วนแล้ว" สามารถตรวจสอบสถานะการลงทะเบียนทุกวันศุกร์ของสัปดาห์ถัดไป ผ่านเว็บไซต์ หรือให้หน่วยงานรับลงทะเบียนเป็นผู้ตรวจสอบ โดยกรอกหมายเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก และวันเดือนปีเกิด โดยผู้ลงทะเบียนที่ลงทะเบียนในช่วงตั้งแต่วันที่ 5 – 8 ก.ย. 2565 สามารถตรวจสอบสถานะการลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 16 ก.ย. 65

(ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน - คลิกที่นี่)


ส่วนผู้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย. 2565 จะสามารถตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน โดยมีรายละเอียดการประกาศผลการลงทะเบียนตามตาราง ดังนี้

ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2565 เปิดแล้วผ่าน 2 ช่องทาง

ทั้งนี้ เมื่อผู้ลงทะเบียนตรวจสอบข้อมูลแล้ว พบว่า

1. "สถานการณ์ลงทะเบียนสมบูรณ์" : ให้ผู้ลงทะเบียนรอผลการตรวจสอบคุณสมบัติ โดยจะประกาศผลการตรวจสอบคุณสมบัติในช่วงเดือนมกราคม 2566

2. "สถานการณ์ลงทะเบียนไม่สมบูรณ์" : เนื่องจากข้อมูลของผู้ลงทะเบียนไม่ตรงตามฐานข้อมูลกรมการปกครอง ระบบจะขึ้นข้อความแสดงโดยระบุสาเหตุของการลงทะเบียนไม่สมบูรณ์ ดังนี้

  • ผู้ลงทะเบียนเป็นพระภิกษุ/สามเณร/แม่ชี
  • ไม่พบข้อมูลของผู้ลงทะเบียน
  • สถานภาพบุคคลของผู้ลงทะเบียนไม่ถูกต้อง มีสถานะเสียชีวิต หรือย้ายไปต่างประเทศ หรือจำหน่าย
  • ผู้ลงทะเบียนไม่ได้มีสัญชาติไทย
  • ผู้ลงทะเบียนมีอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือรูปแบบวันเดือนปีเกิดไม่ถูกต้อง
  • ผู้ลงทะเบียนมีคู่สมรส
  • ผู้ลงทะเบียนแจ้งข้อมูลคู่สมรสไม่ถูกต้อง
  • ผู้ลงทะเบียนแจ้งจำนวนบุตรครบถ้วน แต่หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนของบุตรไม่ถูกต้อง
  • ผู้ลงทะเบียนแจ้งจำนวนบุตรไม่ครบถ้วน โปรดตรวจสอบจำนวนบุตรและข้อมูลเลขบัตรประชาชนของบุตรทุกราย

ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนมี "สถานะการลงทะเบียนไม่สมบูรณ์" สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้ ณ ที่ว่าการอำเภอ/สำนักงานเขต โดยหากผู้ที่ลงทะเบียนที่หน่วยงานรับลงทะเบียนจะต้องติดต่อขอแก้ไขข้อมูล ณ หน่วยงานรับลงทะเบียนที่ผู้ลงทะเบียนได้ยื่นแบบฟอร์มลงทะเบียนไว้เท่านั้น และสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ สามารถติดต่อขอแก้ไขข้อมูลที่หน่วยงานรับลงทะเบียนใดก็ได้ โดยจะต้องแก้ไขให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 3 พ.ย. 2565

อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทะเบียนทุกคนที่ได้ดำเนินการแก้ไขข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ผู้ลงทะเบียน "ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน" ได้ในทุกวันศุกร์ของสัปดาห์ถัดไป โดยสามารถตรวจสอบสถานะการลงทะเบียนดังกล่าวได้ด้วยตนเองผ่านทางเว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th หรือตรวจสอบผ่านหน่วยงานรับลงทะเบียนทุกหน่วยงาน.

ขอบคุณที่มา ไทยรัฐ

Tuesday, September 20, 2022

"รายได้เสริม" ช่วง "วันหยุด" อยู่บ้านก็มีเงินเข้ากระเป๋าได้ ด้วย 5 แอป

5 แอปฯ หา "รายได้เสริม" ช่วง "วันหยุด" อยู่บ้านก็มีเงินเข้ากระเป๋าได้ารายได้เสริม" ในช่วง "วันหยุดยาว" อยู่บ้านมีก็มีรายได้


ยุคโควิดเป็นช่วงที่รายได้หลายคนหดหาย รู้สึกไม่มั่นคงทางการเงิน และกำลังมองหา "รายได้เสริม" หรือ "อาชีพที่ 2" ไปจนถึง "อาชีพที่ 3" กันมากขึ้น แต่หลายคนยังลังเลที่จะเริ่มต้นทำอาชีพใหม่ๆ เพราะมองว่าจำเป็นต้องใช้เงินลงทุน ทว่า ยุคใหม่รายได้สร้างได้ทุกที่ เปลี่ยนวันว่างเป็นรายได้พิเศษ ได้ไม่ยากจนเกินไป 

"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" รวม 5 แอปพลิเคชัน ยอดฮิตที่เป็นเครื่องมือสร้างรายได้ของคนยุคใหม่ ที่ทำได้ที่บ้าน ไม่ต้องลงทุนใหม่ แถมเริ่มต้นได้ด้วยทักษะและสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว

 1. Joylada (จอยลดา)

"จอยลดา" เป็นแอปพลิเคชันที่เปิดให้คนรักนิยายเข้าไปเลือกเสพนิยายวัยรุ่น ที่นำเสนอออกมาเป็นรูปแบบของห้องแชท คนอ่านจะกดที่หน้าจอแล้วข้อความค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ ประหนึ่งแอบอ่านแชทคนอื่นอยู่ เป็นอีกหนึ่งแอปฯ นิยายที่กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่ม GEN Z

สำหรับแอปฯ นี้เปิดโอกาสให้ใครๆ ก็เป็นนักเรียนนิยายสุดฟินได้ โดยสามารถเขียนนิยายขายลงในแอปฯ ทั้งแบบเป็นตอนๆ และแบบเต็มเรื่อง ซึ่งผู้เขียนจะมีรายได้เกิดขึ้นจากคนที่เข้ามากดซื้อนิยายที่เราเขียนไปอ่าน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ในแอปฯ จนได้รับเหรียญ แคนดี้ มาเปย์ให้กับนักเขียนอย่างเราก็เป็นรายได้เช่นกัน 

 2. Blockdit (บล็อกดิต) 

แอปฯ "Blockdit" หน้าตาละม้ายคล้ายกับโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก แต่ไม่ได้มีไว้อัปเดตเรื่องราวส่วนตัวเท่านั้น เป็นแอปฯ ที่เน้นการนำเสนอคอนเทนต์ทั้งแบบบทความและวิดีโอ คล้ายๆ กับการเขียนบล็อกในยุคก่อนๆ

ผู้เขียนสามารถสร้างแอคเคาท์แชร์เรื่องราวต่างๆ ได้ตั้งแต่การแบ่งปันประสบการณ์ แชร์สาระความรู้ (ที่ไม่ได้ลอกคนอื่นมา) ซึ่งหากเนื้อหาถูกอกถูกใจได้รับความนิยมจากผู้อ่านชาว Blockdit หรือเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์ของเรา ก็จะได้เพชร! เป็นการตอบแทน ซึ่งเพชรนี่แหละจะสามารถเปลี่ยนเป็นผลตอบแทนที่เป็นเงินให้กับเจ้าของคอนเทนต์ อย่างไรก็ตามคอนเทนต์ที่ว่าจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานและกติกาของบล็อกดิตด้วยถึงจะมีโอกาสสร้างรายได้เข้ากระเป๋าเรื่อยๆ

 3. Shutterstock Contributor (ชัตเตอร์สต็อก คอนทริบิวเตอร์)

สำหรับคนที่เล่าเรื่องไม่เก่ง ก็มีแอปฯ ที่ช่วยหารายได้ได้เช่นกัน อย่างคนที่ชอบถ่ายภาพ ลองทำความรู้จักแอปฯ Shutterstock Contributor เอาไว้ แอปฯ นี้ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปสามารถถ่ายภาพ และคลิปวิดีโอขายได้ตามความสนใจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรูปอาหาร วิว บุคคล(ต้องเป็นไปตามเงื่อนไข) สัตว์เลี้ยง พื้นผิว ฯลฯ

ที่สำคัญภาพที่ขายไม่จำเป็นต้องถ่ายด้วยกล้องระดับโปรเท่านั้น แต่ใช้โทรศัพท์มือถือก็ได้ โดยภาพที่ลงขายจะไปอยู่ใน "Shutterstock" ซึ่งเป็นเว็บไซต์ขายภาพที่จะมีคนที่ต้องการภาพไปใช้งานในสื่อหรืองานโฆษณาต่างๆ เข้ามาช้อปปิ้งอยู่ตลอด

ภาพถ่ายที่เราลงขายจะสร้างผลตอบแทนให้กับเจ้าของภาพไปได้เรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อของลูกค้าที่เข้ามาตามหาภาพ เรียกได้ว่าขายแล้วขายอีกได้ สร้างรายได้ไม่รู้จบ

 4. Line (ไลน์) 

เชื่อว่านาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จักไลน์ แอปฯ แชทที่ได้รับความนิยมทุกเพศทุกวัยในไทย และมีลูกเล่นสำคัญอย่าง "สติ๊กเกอร์ไลน์" "อิโมจิ" และ "ธีม" ที่เอาไว้ใช้สำหรับสำหรับไลน์โดยเฉพาะ

ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละ ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเราได้ ใครที่มีฝีมือด้านการวาด หรือมีไอเดียเจ๋งๆ กวนๆ ก็สามารถสร้างสติ๊กเกอร์ อิโมจิ หรือธีม ของตัวเองลงขาย ซึ่งรายได้มาจากการซื้อสติ๊กเกอร์ของผู้ใช้คนอื่นๆ และมีการแบ่งรายได้กับไลน์ตามเงื่อนไขของแพลตฟอร์ม ซึ่งการทำหนึ่งครั้งสามารถขายได้ตลอด นั่นหมายความว่าถ้าสติ๊กเกอร์ของเราเป็นที่นิยม ก็มีโอกาสรับรายได้ตลอดเช่นกัน

 5. TikTok (ติ๊กต่อก) 

"TikTok" เป็นอีกหนึ่งแอปฯ มาแรง ที่ใครๆ ก็ให้ความสนใจ ไม่ใช่เพราะแค่มีคอนเทนต์เพิ่มความบันเทิงให้ชีวิต หรือเต้นสนุกเท่านั้น แต่ตอนนี้ติ๊กต่อกกลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางสร้างรายได้ไปแล้ว

สำหรับการสร้างรายได้ในติ๊กต่อก สามารถทำได้หลายรูปแบบทั้งการครีเอทคอนเทนต์เพื่อนำไปสู่การขายสินค้า หรือสร้างรายได้จากการไลฟ์ที่จะมีคนของขวัญที่เปลี่ยนเป็นเงินได้จริงๆ รวมไปถึงการมีสปอนเซอร์ และโฆษณาเข้ามาก็สามารถสร้างรายได้เวลาอยู่บ้านได้เหมือนกัน

สำหรับใครที่อยากมีรายได้เข้ากระเป๋าเพิ่มขึ้น ลองศึกษาเงื่อนไขและรายละเอียดของแต่ละแอปฯ แล้วเอามาแมชต์กับทักษะที่ซ่อนอยู่ในตัวเองมาเปลี่ยนเป็นรายได้ที่นอกจากจะช่วยแก้เบื่อช่วงวันหยุดที่ไม่ได้ไปไหนแล้ว ยังช่วยปูทางต่อยอดอาชีพและรายได้ให้ตัวเองอีกด้วย 

cr. www.bangkokbiznews.com

Tuesday, November 2, 2021

ร้านขายอาหารเจ มังสวิรัติ ทำอย่างไรให้ยอดขายเพิ่ม! กำไรพุ่ง

 

ในยุคที่คนเริ่มตื่นตัวกับกระแสการดูแลสุขภาพมากขึ้น ทำให้กระแสการทานอาหารเพื่อสุขภาพได้รับความนิยมตามมา  หนึ่งในนั้นก็คืออาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นแนวมังสวิรัติหรืออาหารเจ จึงเกิดร้านอาหาร 2 ประเภทนี้มากตามไปด้วยในปัจจุบัน ยิ่งโดยเฉพาะช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่ช่วงเทศกาลกินเจ ร้านอาหารทั่วไปก็อาจจะกำลังมีแผนเปลี่ยนไปขายอาหารเจแทน ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาดูกันว่าหากคุณคิดจะเปิดร้านอาหารเจสักร้าน เรามีเทคนิคดี ๆ อะไรบ้างที่จะช่วยทำให้ร้านที่คุณเปิดยอดขายเพิ่ม กำไรพุ่งจนฉุดไม่อยู่

ทำความเข้าใจเสียก่อนอาหารเจไม่ใช่อาหารมังสวิรัติ

ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนมาขายอาหารเจเฉพาะเทศกาลที่จะมาถึง หรือเปิดเป็นร้านขายอาหารเจแบบถาวร หากคุณคิดจะเปิดร้านอาหารเจแท้ๆ สิ่งแรกที่ต้องระวังคืออาหารเจไม่ใช่มังสวิรัติเพราะอาหารเจจะงดเว้นผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์โดยสิ้นเชิงรวมถึงผักบางชนิดเช่น กระเทียม หัวหอม กุยช่าย หรือผักที่มีกลิ่นแรง ในขณะที่มังสวิรัติจะงดเฉพาะเนื้อสัตว์เท่านั้น อย่าเผลอใส่ของต้องห้ามลงในอาหารเจเชียว เพราะคุณจะตกม้าตาย ยอดขายหดอย่างไม่รู้ตัว

ขายให้ปังฟังทางนี้ 6 กลยุทธ์พิชิตยอดขายเพิ่มกำไรร้านอาหารเจ

คิดจะเปิดร้านขายอาหารเจต้องใส่ใจให้มากเพราะส่วนเดียวที่เหมือนกับร้านอาหารทั่วไปคือ การบริหารจัดการร้านเท่านั้น แต่รายละเอียดปลีกย่อยคือสิ่งที่เจ้าของร้านต้องสนใจพิเศษ กลยุทธ์การขายที่จะทำให้ร้านอาหารเจของเราเหนือกว่าคู่แข่งมีดังนี้

1. อาหารเจรสชาติต้องอร่อย คนทานแล้วติดใจ ยอดขายก็ตามมา

ความยากของการปรุงอาหารเจให้อร่อยอยู่ที่วัตถุดิบที่ค่อนข้างจำกัด เพราะจริง ๆ แล้วสิ่งที่ชูรสอาหาร ปฏิเสธได้ยากว่าต้องมีส่วนของเนื้อสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้อง รวมถึงผักต้องห้ามบางอย่างที่เป็นส่วนช่วยชูรสชาติในอาหารทั่วไปได้อย่างดี ภาพลักษณ์ของอาหารเจในสายตาของคนทั่วไปคือต้องมีแต่ผักและจืดชืดไร้รสชาติ แต่จริง ๆ แล้วการทำอาหารเจให้อร่อยก็มีวิธีเช่นกัน มันอยู่ที่ว่าคุณจะประยุกต์เอาอะไรมาใช้ทำอาหารเจ หรือจะรังสรรค์เมนูใดออกมา ซึ่อาหารเจสามารถทำให้รสชาติถูกปากคนไทย ทั้งเปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ดได้ หากคิดไม่ออกจริง ๆ ลองไปสังเกตการณ์ตามร้านอาหารเจเจ้าอื่นๆ ดูก่อน คุณจะพบว่าแท้จริงแล้วเมนูอาหารเจแทบไม่ต่างจากอาหารปกติเพียงแต่ไม่มีผลิตภัณฑ์ของเนื้อสัตว์เท่านั้น

2. วัตถุดิบที่ดีและมีคุณภาพ ลูกค้าอยู่ยาว ยอดขายไม่ตก

การคัดเลือกวัตถุดิบมาใช้ทำอาหารเจก็มีความสำคัญ เนื่องจากอาหารเจไม่มีเนื้อสัตว์ดังนั้นเราสามารถทดแทนโปรตีนและสารอาหารบางอย่างที่หายไป ด้วยการเลือกปรุงอาหารเจที่มีส่วนประกอบของถั่วชนิดต่างๆ เต้าหู้ วัตถุดิบเลียนแบบเนื้อสัตว์ หรือโปรตีนเกษตร สำหรับผักก็ควรเลือกใช้ผักที่มีสีสันหลากหลาย และสดใหม่เสมอ สิ่งนี้ถือเป็นจุดเด่นของอาหารเจ รวมถึงอาหารเจไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันเยอะเสมอไป ลดปริมาณน้ำมัน และใส่เมนูที่หลากหลายขึ้น จะยิ่งทำให้สามารถจับกลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพได้แท้จริง

นอกจากนี้การเก็บรักษาวัตถุดิบในการปรุงอาหารเจ ก็เป็นอีกส่วนที่จำเป็น เพราะวัตถุดิบหลายๆ ชนิดในอาหารเจค่อยข้างเก็บรักษายาก อย่างถั่วทั้งหลาย ไม่ควรเก็บในที่ชื้น และต้องใช้ถั่วที่อบแห้ง ระวังเรื่องเชื้อราที่สามารถเป็นต้นเหตุของมะเร็งได้ รวมถึงอาหารเลียนแบบเนื้อสัตว์ ซึ่งทำมาจากแป้งที่ให้สารอาหารโปรตีนไม่สมบูรณ์ ทางที่ดีควรเลือกเป็นโปรตีนเกษตรแทน หรือเลือกใช้เต้าหู้ หรือพวกเห็ดชนิดต่างๆ แทน และควรหลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง เพื่อสุขภาพของผู้บริโภคทุกคน

3. รูปแบบร้านอาหารเจ ไม่จำเป็นต้องเมนูข้าวราดแกงเสมอไป

ร้านอาหารเจโดยส่วนใหญ่มักอยู่ในรูปแบบของข้าวราดแกง แต่เพื่อเพิ่มความแตกต่าง และเพิ่มตัวเลือกให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มยอดขายของร้านเช่นกัน เราสามารถฉีกแนวร้านของเราได้ เช่น ทำร้านอาหารเจในรูปแบบอาหารตามสั่ง รวมถึงเมนูในร้านก็สามารถรังสรรค์ให้มีความหลากหลายได้ นอกจากเมนูข้าวราดแกง ลองเปลี่ยนเป็นเมนูขนมจีน เมนูส้มตำ เมนูสลัดโรลเพื่อเกาะเทรนด์รักสุขภาพ เมนูอาหารตะวันตกก็ดัดแปลงได้ และร้านไหนมีความสามารถด้านการทำขนม ก็ลองทำขนมเจเสริม เพิ่มยอดขายได้แน่นอน ใครที่ไม่เคยทำหรือนึกไม่ออก ลองหาข้อมูลได้ตามหนังสือ เว็บไซต์ และวีดีโอทั่วไป ซึ่งปัจจุบันก็เข้าถึงง่าย และหลากหลาย

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเรามีเมนูที่น่าสนใจแล้ว สามารถเพิ่มลูกเล่นเรียกยอดขายให้อาหารเจร้านเราได้ ด้วยการทำ Menu of the day หรือ Special menu เปลี่ยนไปในแต่ละวัน เชื่อว่าคงมีลูกค้าไม่น้อย ที่จะรอลุ้นเมนูใหม่ๆ ไปด้วย

4. มีหน้าร้านไม่พอ ต้องมีกลยุทธ์เพิ่มยอดด้วยการขายออนไลน์

แน่นอนว่าหากคิดจะเปิดร้านอาหารเจอย่างถาวร จำเป็นจะต้องมีหน้าร้านเป็นตัวเป็นตนจึงจะทำให้ลูกค้าเชื่อมั่น และเสริมบรรยากาศของร้านด้วยการตกแต่งให้ดูดี น่าสนใจมากขึ้น เชื่อว่าตอนแรกๆ ร้านอาหารเจอาจจะประสบปัญหาในเรื่องของยอดขายซักระยะ เนื่องจากหากไม่ใช่เทศกาลอาหารเจแล้ว ลูกค้าที่บริโภคอาหารเจก็จะมีวงจำกัดแคบลง แต่ก็เป็นโชคดีของร้านขายอาหารเจอย่างเราๆ ในปัจจุบัน ที่มีโลกออนไลน์ที่เป็นช่องทางการขายให้เรามากยิ่งขึ้น ดังนั้นร้านขายอาหารเจร้านไหน ที่ยังมีเพียงแค่หน้าร้านอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะเข้าถึงลูกค้า ให้เพิ่มช่องทางออนไลน์ไม่ว่าจะบน Facebook Line Twitter หรือ Instagram ในการทำโฆษณาร้านของเรา บอกตำแหน่งร้านให้ชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงร้านเราได้ถูกต้อง และที่สำคัญอย่าลืมทำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง เพราะยุคนี้อะไรๆ ก็อยู่บนโลกออนไลน์หมดแล้ว

5. Delivery เพิ่มยอดขาย ส่งตรงอาหารของคุณถึงมือลูกค้า

กลยุทธ์เพิ่มยอดขายอาหารเจดี ๆ ที่อยากแนะนำก็คือ เมื่อคุณทำการตลาดออนไลน์แล้ว หากไม่เหนือบ่ากว่าแรง ลองพิจารณาการรับออเดอร์แล้ว Delivery ให้ลูกค้าครับ ยิ่งยุคนี้มีผู้ประกอบการหลายรายที่เข้ามาทำธุรกิจจัดส่งอาหาร Delivery ให้เลือกใช้บริการโดยที่เราไม่ต้องส่งเอง ไม่ว่าจะเป็น Line man , Foodpanda, Now, Grab Food ลองศึกษารายละเอียดเหล่านี้ดูจาก รวมบริการสั่งอาหารออนไลน์ยอดฮิต ที่คนทำธุรกิจร้านอาหารต้องรู้! กลยุทธ์การขายนี้ถือเป็นการเรียกลูกค้าให้ซื้อที่ร้านเราได้ เนื่องจากลูกค้าปัจจุบันมองหาความสะดวกสบายและไม่ต้องเสียเวลา หากร้านอาหารเจของเราแก้ปัญหานี้ได้ รับรองลูกค้าก็จะอยู่กับร้านเราไปนาน

6. บรรจุภัณฑ์ต้องมีคุณภาพ ได้มาตรฐานและปลอดภัยต่อลูกค้า

ประการสุดท้ายที่มีความสำคัญไม่แพ้หัวข้ออื่น ๆ คือบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ใส่อาหารเพราะไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหน้าร้านที่ซื้อกลับบ้านหรือลูกค้าออนไลน์ที่สั่งทาง Delivery ก็ตามเจ้าของร้านควรเลือกบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานการผลิตและที่สำคัญบรรจุภัณฑ์ต้องปลอดภัยเหมาะกับการนำมาใช้บรรจุอาหาร ต้องเป็นบรรจุภัณฑ์ Food Grade เท่านั้น รวมถึงต้องเหมาะกับประเภทอาหาร และใช้ทานได้ง่าย อย่าง กล่องพลาสติก 3 หลุม กล่องพลาสติก 2 หลุม

สำหรับร้านอาหารเจที่อยากเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่รักษ์โลกด้วย ควรเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสภาพแวดล้อม เพราะจะยิ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ร้าน ทำให้คนกินอาหารเจที่ร้านเรา ได้ทั้งอิ่มท้อง ได้ทั้งอิ่มบุญ แถมได้ดูแลสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์บรรจุอาหารที่นิยมใช้กันมากตามร้านอาหารได้แก่บรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย หรือกล่องเยื่อธรรมชาติ ยิ่งพิถีพิถันในการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ยิ่งแสดงออกถึงการใส่ใจต่อลูกค้า

การทำร้านอาหารเจให้ยอดขายทะยานกำไรพุ่งกระฉูดไม่ยากอย่างที่คิด แค่มีความตั้งใจขั้นการเลือกวัตถุดิบ การปรุง ผสานกับกลยุทธ์เพิ่มยอดขายดี ๆ ร้านอาหารเจที่คุณเปิดก็มีโอกาสประสบความสำเร็จดั่งใจหวัง และการมีตัวช่วยดี ๆ อย่างบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน เพียงเท่านี้กำไรของคุณก็พุ่งกระฉูดแล้วครับ

เจ้าของร้านอาหารที่สนใจบรรจุภัณฑ์คุณภาพ หรืออุปกรณ์ในการทำร้านอาหาร สามารถเข้ามาเลือกซื้อได้ที่ออฟฟิศเมท เรามีบริการจัดส่งให้ฟรีเมื่อช้อปครบ 499 บาท อีกด้วย ไม่เสียเวลา และช้อปได้ตลอด 24 ชั่วโมง


https://www.officemate.co.th/