Friday, October 21, 2011

เอสเตร่า จากตู้เสื้อผ้าสู่ศิลปะร่วมสมัย






เบื้องหน้าเธอคือราชินีแดนซ์ฟลอร์ กับลุคเปรี้ยว เริ่ด เชิด สวย แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเธอนั้น ตรงกันข้ามแบบสุดๆ เพราะเธอคือสาวน้อยจอมเปิ่น

ขัดแย้งในตัวเองซะขนาดนี้ มาดูกันสิว่า คุณเอสเตร่า ของเราจะเอาตัวรอดไปได้แค่ไหน แล้วการเดินทางตามฝัน ที่จะเป็นนักพิพิธภัณฑ์ชั้นนำของเมืองไทยจะโหด มัน ฮา ยังไง เธอจะเอาความรู้ในงานศิลปะ และความรักพิพิธภัณฑ์มาช่วยแก้ปัญหาวุ่นๆ ในเรื่องในชีวิตประจำวันได้ขนาดไหน

ใครเลยจะคิดว่าตัวการ์ตูนเอสเตร่าที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นสื่อในการเชิญชวนให้ผู้คนไปรื่นรมย์กับงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ วันนี้จะกลายเป็นดาราขึ้นปกซีดีเพลงบอสซาโนว่าของยูนิเวอร์แซล มิวสิค ติดต่อกันถึง 3 ชุด แถมล่าสุดยังสวมเครื่องแต่งกายของห้องเสื้อ Kloset ขึ้นปกซีดี และยังไปเป็นนางแบบบนกระเป๋าผ้าของ Kloset ที่กำลังออกวางจำหน่ายเป็นลิมิเต็ดคอลเลคชั่นเมื่อไม่กี่วันมานี้

เอสเตร่า คือใคร และ ใครกันที่ผลักดันให้เอสเตร่าโด่งดังขึ้นมาในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ...ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้เอสเตร่ามีแฟนคลับ ถึงขนาดชวนกันไปชมคอนเสิร์ต และเที่ยวพิพิธภัณฑ์กันมาแล้ว

กำเนิดในร้านกาแฟ

วันหนึ่งในร้านกาแฟย่านสยามสแควร์ หทัยรัตน์ และ โอ๊ต มณเฑียร สองพี่น้องที่อายุห่างกันราวสิบปี หากสนิทสนมกันราวเพื่อนสนิทกำลังนั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อย

"จู่ๆ โอ๊ตก็บอกว่าชีวิตพี่ดาวนี่ตลกจังเลยนะน่าวาดเป็นการ์ตูน แล้วเขาก็หยิบสมุดขึ้นมาสเกตช์เป็นการ์ตูนที่มีคาแรคเตอร์เป็นดาว เราเรียกเธอว่าน้องเอส หรือ เอสเตร่า ซึ่งแปลว่า ดาว เป็นชื่อที่เพื่อนๆ เรียกตอนที่ไปเรียนเอเอฟเอสที่เวเนซุเอลาเมื่อตอนอายุ 16" หทัยรัตน์ บอกกับเรา

หลังจากนั้นไม่นาน โอ๊ต หนุ่มน้อยที่เรียนจบปริญญาตรีกราฟฟิกดีไซน์จาก Raffles College of Design and Commerce ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย ในวัยแค่ 19 ปี ก็เข้าไปอ่านบล็อกของพี่ดาวที่เขียนถึงตัวเองว่า ชีวิตเริ่มต้นที่ตู้เสื้อผ้า

และแล้ว...เอสเตร่า สาวเริด เชิด สวย แต่โก๊ะ ก็กลายเป็นพรีเซ็นเตอร์ของกลุ่ม B Muse ที่พี่สาวก่อตั้งขึ้น โดยมี โอ๊ต เป็นคนวาดการ์ตูน ส่วนหทัยรัตน์เป็นคนเขียนเนื้อเรื่อง

B Muse เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักในงานพิพิธภัณฑ์ มารวมตัวกันพัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อสร้างวัฒนธรรมการไปพิพิธภัณฑ์ของคนไทยให้ขยายวงกว้างขึ้น ตั้งต้นกับโครงการชื่อ ไปพิพิธภัณฑ์แล้วหัวใจเบิกบาน "เราอยากชี้ให้คนในสังคมเห็นว่า การไปพิพิธภัณฑ์เป็นเรื่องใกล้ตัว"

ชีวิตเริ่มต้นที่ตู้เสื้อผ้า

หทัยรัตน์ บอกว่าแม้จะเรียนจบปริญญาตรีจากคณะโบราณคดี เอกประวัติศาสตร์ศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปากร แต่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องพิพิธภัณฑ์มากเท่าไรจนกระทั่งไปเรียนภาษาอังกฤษ ที่สหรัฐอเมริกา

"ตอนปี 2000 ได้ไปพิพิธภัณฑ์ที่ Getty Center นั่นเป็นจุดที่ทำให้ดาวเปลี่ยนใจเลย แม้ตอนนั้นยังไม่ได้สนใจเรื่องคอลเลคชั่น แต่ก็ประทับใจในความเป็นพิพิธภัณฑ์แล้ว ความรื่นรมย์ภายในทำให้เราอยู่แล้วมีความสุข เขามีโปรแกรมต่างๆ ให้ดูมีการเชื่อมโยงกันระหว่างด้านในและด้านนอก คาเฟ่ก็น่ารัก ร้านหนังสือก็ดี ทำให้รู้สึกว่า นี่แหละคือสิ่งที่เราตามหา" จากนั้นจึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทด้าน Museum Study ที่ Amsterdam School of the Art ประเทศเนเธอร์แลนด์ โรงเรียนที่สอนวิชาการพิพิธภัณฑ์โดยเฉพาะ

เรียบจบกลับมาเมืองไทย เธอจึงจัดตั้งกลุ่ม B Muse ขึ้นมาเพื่อหาวิธีทำให้คนไทยไปพิพิธภัณฑ์มากขึ้น โดยมีสมาชิกเริ่มแรก 2 คน คือ เธอ กับ โอ๊ต

"โอ๊ต วาดการ์ตูนเอสเตร่า เรื่องชีวิตเริ่มต้นที่ตู้เสื้อผ้า ดาวก็เขียนเนื้อหาโดยหยิบยกเอาเรื่องของการจัดการพิพิธภัณฑ์มาเปรียบเทียบ กับการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน"

ถามว่าทำไมต้องเริ่มต้นที่ตู้เสื้อผ้า เธอบอกว่า "เพราะเวลาที่ตู้เสื้อผ้ามันเรียบร้อยมันรู้สึกว่าชีวิตเริ่มต้น เหมือนเป็นความสงบภายใน บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับดาวเองเรื่องแต่งตัวเป็นเรื่องสำคัญ ตู้เสื้อผ้าของคนอื่นอาจจัดตามแฟชั่นแต่ของดาวจัดตามสีค่ะ

"บางวันตื่นขึ้นมาวันนี้จะใส่สีอะไรดีนะ จัดตู้เสื้อผ้าจะทำเวลาที่เราสับสน การพับผ้าเหมือนเป็นการทำสมาธิ คนอื่นอาจคุกกิ้ง วาดรูป แต่ดาวจัดตู้เสื้อผ้า

"เริ่มคิดว่า เอ๊ะ ต้องหยิบง่าย สะดวกในการเลือก และสวยงาม แล้วเราก็มาเปรียบเทียบกับการจัดการในมิวเซียม ว่าเขาทำกันอย่างไร บางที่จัดเป็นเกรด เกรด A มาสเตอร์พีซ สิ่งที่เราเห็นในมิวเซียม ไม่ว่าจะเป็นบริติชมิวเซียม หรือที่ไหนๆ นั้นเป็นเพียงแต่ 5 -7 เปอร์เซ็นต์ของคอลเลคชั่นที่เขามี แล้วเขาจะจัดการกับสิ่งของที่มีหลายล้านชิ้นอย่างไร

"เราก็มาใช้กับการจัดตู้เสื้อผ้าตัวเอง แบ่งเป็นลิสต์เอ สวยเลิศเลอเพอร์เฟกต์ ลิสต์บีก็เป็นร้อยเก้าสิบเก้า เอาไว้ใส่อยู่บ้านลงมากินกาแฟกับเพื่อน ลิสต์ซีอาจเป็นเสื้อผ้าหน้าหนาวตามซีซัน ลิสต์ดีคือไม่ใส่แล้วแต่ยังมีอีโมชั่นแนลอยู่ เช่น เคยใส่ไปเดทกับคนนี้อยู่ หรือมีความหมายที่ยังทิ้งไม่ได้ เป็นคอลเลคชั่นส่วนตัว เป็นขำๆ เพื่อนก็บอกว่าเป็นเรื่องเป็นราว สุดท้ายมีประมวลผลว่า ลิสต์เอรวมกันได้ 24 ชิ้น ลิสต์บี 160 ชิ้น ประสิทธิภาพในการซื้อเสื้อผ้าอยู่ในขั้นวิกฤติ

เปรียบเทียบกับใน พิพิธภัณฑ์ กลุ่ม A ที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้นำมาจัดแสดงนิทรรศการถาวร กลุ่ม B จัดแบบหมุนเวียน ความสำคัญรองลงมา CDE เก็บคลังเพื่อศึกษาวิจัย"

การ์ตูนเรื่องนี้ดาวและน้องทุบกระปุกตัวเองจัดพิมพ์ออกมา 1,000 เล่ม ขายเล่มละ 50 บาท โดยวางแผนไปเปิดตัวกันที่งานแฟตเฟสติวัล ศูนย์รวมของกลุ่มเป้าหมาย

กลายมาเป็นสาวบอสซ่า

สองพี่น้องเปิดบูธในงานแฟตเฟสติวัล ปี 2008 โดยมีบอร์ดรูปการ์ตูนเอสเตร่าขนาดใหญ่ พร้อมจำหน่ายการ์ตูน เส้นทางของ เอสเตร่า ก็เกิดการหักเหอย่างคาดไม่ถึง

"วันนั้น คุณปิง ธนากร เป็นมาร์เก็ตติ้งเมเนเจอร์ของค่ายเพลงยูนิเวอร์แซล เจอตัวเอสเตร่า วันนั้นเรามีบอร์ดใหญ่มาก ทุกคนมาถ่ายรูปกับเอสเตร่า คุณปิงก็เดินมาถามว่า ถ้าจะให้วาดเป็นซีรีส์คอลเลคชั่นได้มั้ย โอ๊ตก็บอกว่าได้ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร จบงานเราก็เก็บบูธกลับบ้านไม่ได้คิดอะไร แต่เออ...เราได้ทำอะไรบางอย่าง พ่อแม่ก็งงๆ ว่า ลูกมาทำอะไรแต่เขาก็ซัพพอร์ต

"ไม่นานคุณปิงก็ติดต่อมาว่าเอาจริงนะให้ทำเป็นซีรีส์ ข้างในมีการ์ตูนด้วยได้มั้ย เลยออกมาเป็นชุดแรก คือ Cool Bossa เขาบอกคอนเซปต์มา วิธีการทำงานกับยูนิเวอร์แซลนี่น่ารักมากเลย ชุดแรกคอนเซปต์คือไปทะเล เนื้อหาในการ์ตูนเราก็เลยใส่เรื่องราวเหล่านี้เข้าไปด้วย สาวน้อยผู้รักศิลปะสุดหัวใจ ชีวิตสาวเมืองสวยหรูช่างดูดี แต่งตัวสวย มีปาร์ตี้ ได้เงินเยอะ แต่ความจริงแล้วก็ทำงานหนัก เจอแต่โฆษณาตลอดชีวิต งานยุ่งเจ็ดวัน ทะเลที่ได้เห็นคือทะเลที่อยู่ในจอคอมพิวเตอร์

"ดาวก็มาเล่นกับ beat Theraphy เอาเนื้อหาวิชาการมาเลยว่าเวลาที่เราเครียดๆ ได้มาฟังเพลงเบาๆ จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย จังหวะของบีทดนตรีที่เต้นตรงกับจังหวะหัวใจเราเป็นจุดสมดุลที่ทำให้ร่างกายเราผ่อนคลายที่สุด เราก็หยิบคอนเทนท์นี้มาทำเป็นการ์ตูน คนเราบางทีไม่ต้องการอะไรมากแค่ได้มีเวลาให้ตัวเองสักเสี้ยวนาที

"คือดาวเชื่อว่า I believe in art อาร์ตมันเป็นประตูแรกที่นำไปสู่แฮปปิเนส นำเราไปสู่อัลเทอร์เนทีฟโซไซตี้ เพราะดาวเชื่อว่า การที่ได้รัก ชื่นชม ดูงานศิลปะ ทำงานศิลปะทำให้เรามีจิตใจที่ดีมีฮาร์โมนี ทำให้มีความอยากได้น้อยลง ลดการแย่งชิงเพราะว่าเรามีความสุขอยู่แล้ว ดาวพยายามใส่ตัววิชั่นนี้ไปทุกๆ ที่"

เอสเตร่า ชุด คูลบอสซ่า ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ชุดที่สอง สวีต บอสซ่า จึงตามมาในเวลาไม่นาน ตามด้วยชุดที่สามที่เพิ่มความชิค และ แฟชั่นลงไปด้วย

ชุดที่สองเป็นสวีทบอสซ่า มีการ์ตูนเอสเตร่าเล่าเรื่องดนตรีบอสซ่า เนื้อหาขยับขึ้นมาเข้มข้นขึ้นมาว่า ดนตรีบอสซ่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองนะ

อันสามเริ่มเบื่อฟอร์แมตเดิม เราบอกว่าเขาเองว่าเราเอา ชิค บอสซ่า นะเราจะทำกับแบรนด์แฟชั่นเฮ้าส์ เขาก็ช่วยกันเลือกเพลงส่งลิสต์มาให้เราดู เราก็กรี๊ดแตก ใช่ๆ ต้องประมาณนี้

แล้วก็แฟชั่นชิค เราจะร่วมงานกับใครดี ส่วนตัวปลื้ม Kloset มาก ก็เลยวิ่งไปหา พี่แก้ม มลลิกา เรืองกฤตยา แล้วเอาตัวเอสเตร่าไปพรีเซ้นท์ ทุกคนก็ชอบ บอกว่าเอา เราก็เลยมีการร่วมงานกับแบรนด์แฟชั่นด้วย นอกจากมีซีดี เลยมาเป็นปกซีดีชุด ชิค บอสซ่า เอสเตร่าสวมเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ของ kloset แล้วก็มีกระเป๋าลิมิเตทเอดิชั่น วางที่ร้าน Kloset สยามเซ็นเตอร์

เอสเตร่าโกอินเตอร์

เอสเตร่า สาวบอสซ่าที่มาพร้อมเสียงเพลงและการ์ตูนแทรกให้อ่านคู่กับซีดีเพลง มีสัญญาขึ้นปกซีดีทั้งหมด 8 ชุด ภายในปี 2010 หลังจากนั้นยูนิเวอร์แซลจะปั้นให้เอสเตร่าออกไกด์บุ๊คฉบับเล็ก ควบคู่ไปกับซีดีเพลงชุดพิเศษ

"เป็นหนังสือเล่มเล็กเขียนคู่กับเพลง เช่น Soundtrack of London เราก็จะไปมิวเซียม เล่าเรื่องอาร์ต ดีไซน์ คุยกับดีไซเนอร์ โดยมีคาแรคเตอร์ตัวนี้ควบคู่ไปกับมีซีดีเพลงอยู่ในนั้น"

เส้นทางจากตู้เสื้อผ้า แม้ว่าจะหักเหไปสู่ถนนสายดนตรี ขยับไปหาแฟชั่น แต่ความมุ่งมั่นของสาวเริ่ด เชิด หยิ่ง แต่โก๊ะ ผู้ต้องการเชิญชวนทุกคนมุ่งหน้าสู่พิพิธภัณฑ์ยังมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ...เรามาคอยเอาใจช่วยเอสเตร่ากันต่อไปว่าหนทางข้างหน้าจะพลิกผันมันฮาแค่ไหน

สู้ต่อไปนะ...เอสเตร่า

No comments:

Post a Comment